แต่สิ่งที่เห็นก่อนตะวัน คือ จันทรา ^^ พระจันทร์ยังไม่ตกเลยค่ะ มองเห็นมั้ยคะ
น่าเสียดายว่า เช้านี้ ฟ้าไม่โปร่ง เลยได้แต่เห็นเมฆสวยๆแทน
ป้าไม่มีเวลาโอ้เอ้สักเท่าไหร่ เพราะนัดกันว่า ๙ โมงเช้าเราจะไปลงเรือดูโลมาสีชมพูกัน ก่อนมา..เมล์ถามน้องว่า คิดว่าเราจะได้เห็นมั้ย กลายเป็นว่าสร้างความกดดันให้น้องกลัวว่าพี่จะไม่ได้เห็น โธ่ แค่อยากรู้ว่า โดยปกติเค้าเห็นกันหรือเปล่าเท่านั้นเอง ค่าเรือไม่ได้แพงเหมือนเวลาไปดูวาฬที่เมืองนอกสักหน่อย แบบนั้นน่ะ ป้าไม่เสียตังหรอก กลัวไปแล้วเห็นแต่ทะเล
จุดที่เราจะลงเรือไปดูโลมา คือ ที่..แหลมประทับ.. พอเลี้ยวรถเข้าไปในหมู่บ้าน ชาวบ้านแถวนั้นก็ออกมาช่วยดูที่จอดรถให้ เห็นมีรถจอดอยู่ริมถนน หน้าบ้านชาวบ้านแถวนั้นหลายคัน แปลว่าเรามาสายแล้วล่ะสิ วันนั้น เขากำลังเทคอนกรีตทำถนนกันอยู่ เขาก็ีบอกทางให้ว่าต้องเดินไปทางไหน เอาชูชีพมาให้ แล้วก็ชวนเชิญให้เช่าหมวกปีกกว้าง สำหรับสาวๆใส่กันแดด ตรงท่าเรือมีรูปปั้นโลมา ๒ ตัว ป้าบอกให้รีบถ่ายรูปก่อน เป็นหลักฐานว่าเราได้เห็นโลมากันแล้ว อิอิ
เจ้า ๒ ตัวนี้มายืนส่งพวกเราลงเรือหางยาว ที่มีผ้าใบขึงเป็นหลังคาให้หลบร่ม
เรือที่เรานั่ง หมุนไปหมุนมาอยู่พักนึงกว่าจะออกเรือได้ เสียงป้าเจ้าของเรือสั่งเด็กเรือ ๒ คนลั่นๆ ท่อซ้าย ท่อขวาอะไรไม่รู้ เราก็พยายามมองๆว่าอะไร สักพักถึงเข้าใจว่า ป้าเค้าสั่งให้ ถ่อทางซ้าย ถ่อทางขวา อิอิ
วันนี้ทะเลเรียบ เรานั่งออกไปสักพัก เริ่มมีเรือสวนกลับมา ส่งเสียงถามกันว่าเห็นโลมามั้ย ก็พยักเพยิดว่าเห็น ให้เราได้ดีใจกันว่าเดี๋ยวเราก็จะได้เจอมั่ง
อิตาคนนี้ เหมือนเป็น logo ที่นี่งัยมะรุ เพราะตอนหาข้อมูลเที่ยว ก็เจอรูปแบบนี้
ระหว่างทาง เราจะผ่านเกาะต่างๆที่มีหน้าผา หรือส่วนด้านล่างเป็นเหมือนแผ่นหินซ้อนกันเป็นชั้นๆ เขาเรียกกันว่า เขาหินพับผ้าค่ะ (แต่ไม่ใช่เขาพับผ้าแถวระนองน๊า)
ข้อมูลจาก http://khanom.siamfreestyle.com//tourist-attractions/ เขาว่า...
เขาหินพับผ้า ปรากฎการณ์ทางธรณีวิทยา ที่เห็นได้บนเขาหิน และเกาะบางเกาะในทะเลขนอม บริเวณหน้าอ่าวเตล็ด คือที่เกาะท่าไร่ เกาะนุ้ยนอก เขาหลักซอ และชายฝั่งอ่าวเตล็ด ลักษณะที่เห็นจะเหมือนเป็นแผ่นหินที่ทับซ้อนเรียงกันเป็นชั้นๆสูงขึ้นไป ด้านบนมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมหลากหลายชนิด บางชนิดก็ดูแปลกตาออกไป บางแห่งก็จะพบกล้วยไม้ป่าขึ้นอยู่ด้วย
การเกิดของเขาหินพับผ้า เกิดจากกระบวนการหินตะกอน (sedimentary process) ที่มีการตกตะกอนของหินที่มีส่วนประกอบและความแข็งต่างกัน เป็นชั้นๆ ในท้องทะเล ต่อมามีการเอียงและยกตัวของเปลือกโลกชั้นหินดังกล่าวก็เกิดเป็นหน้าผา เมื่อถูกกระแสน้ำ และลม กัดกร่อนเอาชั้นที่อ่อนกว่าออกเหลือชั้นที่แข็งแกร่งกว่า ก็จะดูเหมือนแผ่นหินที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ เปรียบเหมือนขนมชั้น หรือผ้าที่พับไว้ จึงเป็นที่มาของชื่อ " หินพับผ้า " เมื่อนักท่องเที่ยวฝรั่งได้มาเห็นที่นี่ก็บอกว่า เขาหินลักษณะนี้คล้ายกับ Pancake rock ที่เมือง Punakaiki ประเทศนิวซีแลนด์ ก็เลยเรียกหินพับผ้าเหล่านี้ว่า " แพนเค้ก ร็อค เมืองไทย " อีกชื่อหนึ่ง
ดูชัดๆค่ะ
ส่วนบริเวณนี้(รูปข้างล่าง) เขาเรียก "เวทีพุ่มพวง" เล่ากันว่า วันที่คุณพุ่มพวง ราชินีลูกทุ่งเสียชีวิตนั้น มีชาวเรือมานอนเล่น แล้วหลับฝันไป ได้ยินเสียงเพลงของคุณพุ่มพวงที่นี่ กลับไป ถึงได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของเธอ เขาเล่ามาประมาณนี้น่ะค่ะ
ผ่านเกาะสวยๆมาแล้ว และผ่านเกาะนุ้ยที่มีหลวงปู่ทวด จนมาถึงอ่าวนึง น้องเขาก็จอดเรือ แล้วบอกที่นี่แหละ เป็นแหล่งของโลมาสีชมพู ให้เราช่วยกันมองหา อุ๊ยๆๆๆ ตื่นเต้นอะ แต่รออยู่พักใหญ่ ก็ไม่มีวี่แวว น้องคนเรือเขาทุบท้องเรือเสียงดังๆ ทำนองเรียกหา แต่ก็ยังไม่เห็น มีเรือมาอีกลำ วนหาอยู่ก้ไม่เจอ น้องเขาบ่นๆว่า สายแล้ว...แง ! เรามาสายไปเหรอ >,<
รออยู่นาน จนคิดว่าไม่เจอแล้ว เขาก็ไปวนที่อ่าวอื่น ป้าเริ่มบอกตัวเองให้ทำใจแล้วว่า "ธรรมชาติ..ไม่มีใครกะเกณฑ์ได้" :(
เรือไปวนดูวิวที่อ่าวอื่นแล้วย้อนกลับมา ก็ยังไม่เจอ ก็เลยคิดว่าจะไปเกาะนุ้ยกันก่อนเถอะ แต่แล้ว ก็เห็นเรือลำอื่นเขาชี้ๆ เราเลยเข้าไปดู
นั่นๆๆๆๆ โลมาๆๆๆ เห็นม๊ายยยย
แต่ไม่ใช่สีชมพูนะ เขาว่ายวนเวียนมาแถวเรือเราด้วย ให้ชื่นใจว่า มาไม่เสียเที่ยวแล้ว ทุกคนในเรือหน้าตาเบิกบาน น้องที่เป็นคนขนอมบอกว่า รอดตัวแล้ว พี่ได้เห็นโลมาแล้ว ๕๕๕๕คนเรือบอกว่า ตัวนี้ไม่คุ้นเคย....แน่ะ มีจำหน้ากันได้ด้วยเหรอ ^^
แล้วเขาก็พาเราไปเกาะนุ้ย ซึ่งต้องจอดเรือ แล้วลงเดินลุยน้ำเข้าไป ที่นี่มี บ่อน้ำจืด...ป้าได้ยินเรื่องนี้ เมื่อ ๒ ปีก่อน ตอนที่มาขนอมครั้งแรก น้องเล่าว่า เป็นตามตำนานหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด คิดว่าคงเคยได้ยินกันนะคะ ตอนนั้น เรานัดกันว่าจะหาเวลามาดูกัน แต่ก็ไม่ได้มาสักที ป้าน่ะ..สงสัยจริงเชียว ว่าจะจืดได้อย่างไร ป้าซึ่งเลื่อมใสหลวงปู่ทวดมากๆ อยากมาเห็นบ่อน้ำทะเลจืดนี่ ยิ่งกว่าโลมาเสียอีก
บ่อน้ำทะเลจืดที่ว่านั้น เป็นบ่อเล็กๆ ขนาดสัก ๒-๓ ฟุตเองมั้ง อยู่ริมหาดห่างจากน้ำทะเลไปไม่กี่ก้าวเอง มีน้ำซึมจากบ่อขึ้นมาแล้วไหลลงทะเลไป ตอนแรกที่เห็น อึ้ง ! แล้วลองชิมน้ำดู จืด !! จริงๆนะคะ ยังเสียดายกันว่า น่าจะพวกขวดเล็กๆมารองน้ำกลับไปฝากคนอื่น
พอชิมน้ำจืดให้อัศจรรย์ใจกันแล้ว เราก็ปีนขึ้นไปกราบหลวงปู่ทวดกันค่ะ (ถึงป้าจะเข้าใจว่า เป็นน้ำจากใต้ดินน่ะค่ะ ถึงได้จืด แต่ก็เต็มใจที่จะเชื่อตำนานหลวงปู่ทวดอยู่ล่ะค่ะ อิอิ)
ตำนานหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดค่ะ จาก http://khanom.siamfreestyle.com//tourist-attractions/
จากปรากฎการณ์บ่อน้ำจืดกลางทะเล ซึ่งสอดคล้องกับตำนานหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ที่เล่ากันว่า เมื่อครั้งหลวงพ่อทวดเดินทางจากสงขลาไปยังกรุงศรีอยุธยาด้วยเรือสำเภา ระหว่างทางเกิดคลื่นลมแรงเรือไปต่อไม่ได้ ต้องลอยลำอยู่กลางทะเลจนน้ำจืดหมด หลวงพ่อทวดได้แสดงอภินิหารเอาเท้าเหยียบน้ำทะเล กลายเป็นน้ำจืดดื่มกินได้ ให้ลูกเรือขนน้ำไปใช้ในระหว่างการเดินทาง
เรื่องเล่านี้มีสืบทอดกันมาร่วม 400 ปี อาจจะพิศดารแตกต่างกันไปบ้าง แต่เป็นเรื่องราวที่ชาวบ้านย่านนี้ให้ความเชื่อถือ เมื่อพบว่ามีบ่อน้ำจืดอยู่กลางทะเลที่เกาะนุ้ย ก็ยิ่งเพิ่มความเชื่อและศรัทธาที่มีต่อหลวงพ่อมากยิ่งขึ้น จึงได้สร้างรูปบูชาหลวงพ่อทวดด้วยหินแกรนิต แกะสลักขนาดหน้าตัก 36 นิ้ว อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่เกาะนุ้ยเพื่อให้เป็นเสมือนที่เคารพของคนในพื้นที่ รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่ได้มาถึงเกาะนุ้ย เกาะหลวงพ่อทวดแห่งทะเลขนอม
เข้าใจว่า ถ้าใครอยากจะมาพิสูจน์เรื่องบ่อน้ำจืดนี่ ควรจะมาตอนเช้า ที่น้ำยังไม่ขึ้น และมาช่วงเดือนเมษา - สิงหานะคะ
ลั้นลากันแล้วล่ะค่ะ ได้เห็นทุกอย่างที่คาดหวัง ^______^
แต่แล้วระหว่างมุ่งหน้ากลับท่าเรือ เราก็เห็นเรือ ๒-๓ ลำ ลอยลำอยู่ คนเรือของเราวกเรือเข้าไปทันที กวาดตามองอยู่แป๊บนึง
กรี๊ดดดดดดดดดด โลมาค่ะ หลายตัวเลย แล้วมีเจ้าโลมาสีชมพูด้วย เขาว่ายกันอยู่ไกลๆ แล้วประเดี๋ยวก็ว่ายมาอยู่ตรงหน้าเรือเรา แล้วก็อ้อมเป็นวงกลมกลับไปที่ทะเลด้านนอก
อิ่มเอมเปรมใจมากกกกกกกค่ะ ยิ้มกันไม่หุบเลย ตะละคน :)
ระหว่างนั่งเรือกลับ เช็คกล้อง เช็คมือถือกันให้วุ่นเลยว่า ใครจะจับภาพโลมาได้บ้าง ป้าน่ะโชคดี ได้รูปถ่ายมา ๒ รูปตามที่ลงให้ดูนี้ล่ะค่ะ นึกชมคนที่ถ่ายสวยๆแล้วโพสต์ลงเน็ตให้เราดูว่า ช่างสามารถอะไรปานนั้น เพราะเรือเองก็โคลงเคลง โลมาเองก็ว่ายไปมา โล่ขึ้นมาแล้วก็ดำลงไป เราไม่รู้ว่าเขาจะโผล่มาอีกทีตอนไหน และ ตรงไหน
ป้าเอง เวลาเห็นถึงกะลุกขึ้น มือนึงเกาะเสาเรือ มือนึงถือกล้อง ไม่ฟังเสียงน้องๆเตือนว่า ระวังตกเรือ อิอิ พยายามถ่ายด้วยกล้องแล้ว ตอนหลังใช้มือถือถ่ายคลิป เพราะคิดว่าน่าจะง่ายกว่า แต่ ตาไม่ได้อยู่ที่หน้าจอมือถือหรอก นู่นนน ตาอยู่ที่ทะเล(เพราะกลัวไม่ได้เห็นโลมา อิอิ) แล้วหันมือถือตามหน้าไป ก็เลยได้คลิปมาบ้าง แบบนี้ (ถ้ามีครั้งต่อไป รู้ล่ะ ต้องเอามือถือขึ้นมาไว้ที่ระดับหน้า น่าจะดีกว่านี้ ^^)
คลิปโลมาที่เห็นรอบแรก ถ่ายด้วยกล้อง
คลิปโลมารอบสอง ถ่ายจากมือถือ ตัดคลิปไม่เป็น
(แล้วทำงัยให้มันใหญ่กว่านี้ได้อะ มองแทบไม่เห็นเล้ยย)
ติดใจสงสัยเรื่องสีของโลมา ว่าเค้าอยู่กันหลายตัว ทำไมสีเทาบ้าง ชมพูบ้าง ลองหาอ่านดู ถึงได้รู้ว่า เป็นโลมาพันธ์หลังค่อม ซึ่งพอเริ่มแก่ ก็จะเปลี่ยนสีจากสีเทาเป็นสีชมพู..คงคล้ายๆกับเราที่สีผมเปลี่ยนจากดำเป็นขาว...กระมังคะ ;)
ข้อมูลจาก www.siamfreestyle.com ตามนี้ค่ะ
เรามา ทำความรู้จักกับเจ้าบ้านที่น่ารักกันสักนิด โลมาพันธุ์นี้มีชื่อว่า โลมาหลังค่อมอินโด-แปซิฟิก(Indo-Pacific Humpback dolphin) มีชื่อภาษาละตินว่าเซาซ่า ไชเนนซิส (Sousa chinensis)มีลำตัวกลมยาว ใต้ท้องมีสีอ่อน โหนกเรียวยาว มีครีบหลังเอียงลาดไปทางด้านหลัง มีปากเรียวยาวคล้ายโลมาปากขวด เมื่อดำน้ำปลายหางจะชูขึ้น แรกเกิดยาวประมาณ 1 เมตรหนักประมาณ 25 กิโลกรัม โตเต็มที่จะยาวราว 2.5-3 เมตร หนักประมาณ 150-200 กิโลกรัม ปกติเป็นสัตว์ที่ว่ายน้ำไม่เร็วนัก ชอบแสดงพฤติกรรมเหนือผิวน้ำหลายๆอย่าง เช่นกระโจนขึ้นจนพ้นน้ำแล้วสะบัดหาง หรือตะแคงตัวว่ายน้ำแล้วโบกครีบข้างลำตัว ที่พบเห็นที่นี้มักจะมีสีเทา เทาอ่อนจนเกือบขาว โลมาชนิดนี้เมื่อมีอายุมากขึ้นสีลำตัวจะจางลงจนเห็นเป็นสีชมพู ซึ่งเป็นที่มาของโลมาสีชมพูที่เราอยากไปเยี่ยมเยือนถึงบ้านที่ ท้องทะเลขนอม
ระยะนี้การออกไปท่องเที่ยวชมโลมาในทะเลกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก นักท่องเที่ยวที่ออกไปต่างมีความหวังที่จะได้ชมโลมา ชาวเรือที่นำเที่ยวก็อยากให้ลูกทัวร์ได้เห็น ซึ่งอาจใช้วิธีที่ผิดๆได้ เช่นถ้าไปกันหลายลำก็ใช้เรือล้อมฝูงปลาเอาไว้ การเข้าใกล้ตัวปลาเกินไปก็เป็นการรบกวนทำให้ปลาเครียดได้ ไม่ควรเข้าใกล้เกินกว่า 50 เมตร การให้อาหารแก่โลมาก็จะทำให้ความสามารถในการหาอาหารตามธรรมชาติลดลง นักท่องเที่ยวมีส่วนช่วยได้ด้วยการที่ไม่กำหนดว่าจะต้องได้เห็นโลมาเท่านั้น ชาวเรือก็ต้องไม่ใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องกับโลมา ขอให้เราเข้าใจว่าโลมาเหล่านั้นอยู่ในทะเล ไม่ได้อยู่ในสระน้ำ เราอาจไม่ได้พบมันก็ได้ การที่เราออกเรือไปถึงบ้านของโลมาก็เป็นประสบการณ์ที่มีค่ายิ่ง และทะเลขนอมก็ยังมีดีอีกมากให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมตลอดทริปท่องทะเล
หรือเพิ่มเติมอีกตามนี้
พวกเรานั่งยิ้มกริ่มกลับมาที่ท่าเรือ ช่วยกันอุดหนุนสินค้าที่ระลึกเป็นการกระจายเม็ดเงินสู่ชุมชนกันหน่อย ที่จริงแล้ว ส่วนตัวเห็นว่าพวกเสื้อยืดตุ๊กตาไม่น่าสนใจเท่าของพื้นบ้าน หรือ พวกอาหารหรอกนะคะ ได้ซื้อปลากรอบ (หรือเขาเรียกปลาเค็ม ปลาแห้ง ไม่รู้เหมือนกัน) เป็นปลาอะไรไม่ทราบ ตัวเล็กๆขาวๆ เขาทอดไว้ให้ชิม ไม่เค็มมาก อร่อยดี มีวางอยู่ ๖-๗ ถุง เลยเหมามาทั้งหมด แล้วเขาให้ชิมมันกุ้ง เอามะม่วงเปรี้ยวๆมาจิ้ม อร่อยดี คล้ายๆกะปิหวาน เขาว่า เอาไว้ผัดข้าวก้ได้ เอ้า เอามาด้วย หมดไปกี่ร้อยบาทหรอกค่ะ แต่ตลกมาก เจ้าตัวเล็กที่ช่วยแม่ขายของ บอกให้แม่ปิดร้านได้เลย ไม่ขายต่อแล้วเหรอลูก สงสัยอยากไปเล่นเต็มทีแล้ว ^^
จะกระซิบว่า ปลากรอบนั่นอร่อยมากค่ะ ใครไปเที่ยว ซื้อกลับมาเถอะ ไม่ผิดหวังหรอก แต่มันกุ้งนั่น กลับมาบ้าน ทำไมไม่อร่อยเท่าตอนชิมที่นั่น ไม่รู้
เท่าที่สังเกต ชุมชนบ้านแหลมประทับนี่ ค่อนข้างเข้มแข็งและกลมเกลียวดี ตอนเรามาเช่าเรือ ก็ไม่มีอาการแย่งกัน เหมือนรู้คิวกัน หรือเขาแบ่งผลประโยชน์กันลงตัวก็ไม่รู้ เวลาชวนซื้อของ ก็ไม่เซ้าซี้ มีคำพูดคำจาที่ฟังแล้ว โอเค รับได้ ที่สำคัญ ชาวบ้านอัธยาศัยดีกันทั้งนั้นค่ะ ชอบ ^^ เลยจะประชาสัมพันธ์ให้เขาหน่อยว่า เขามีบริการ Home Stay ด้วยนะ กิจกรรมที่ทำนอกจากที่ป้านั่งเรือไปดูอะไรต่ออะไรที่เล่ามาแล้ว เขายังมีกิจกรรม ไปตกปลาทราย ลากอวนปลากระบอก เจาะหอย ?? จับกุ้งด้วยมือเปล่า(อันนี้น่าลองอะ) ซึ่งกิจกรรมต่างๆ อาจต้องเช็คนะคะว่าเดือนไหนทำอะไรได้บ้าง ติดต่อที่กลุ่มท่องเที่ยวบ้านแหลมประทับ ต.ท้องเนียน อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช นะจ๊ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น