วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

ไหว้พระ ๙ วัด รับปีใหม่...๓ วัดแรก

ไหว้พระ ๙ วัด รับปีใหม่ ๒๒-๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๕

ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ตั้งใจว่าปีนี้จะไปดูทะเลบัวแดงที่อุดรธานี ก็ให้อ่านเจอในหนังสือพิมพ์ว่า บัวแดงถูกผลกระทบจากภัยแล้ง ทำให้ดอกบัวออกน้อยกว่าปกติ เช็คไปทางน้องทางนั้น เขาก็ว่าจริง ..ไม่เป็นไร ไปที่อื่นก็ได้ ปีหน้าค่อยไป.. อิอิ 


ฉะนั้น คว้าแผนที่มาดูซิ เรายังไม่เคยไปจังหวัดไหนบ้าง เอาใกล้ๆหน่อยก็ดี จะได้เรื่อยเปื่อยตามอารมณ์ นี่งัย พิจิตร ไปเมืองชาละวันกันดีกว่า..  ที่เที่ยวมีตั้งหลายแห่ง ทั้งวัด ทั้งโบราณสถาน นกกระจอกเทศก็มีให้ดู ตกลงๆ ออกเดินทางกันวันเสาร์ที่ ๒๒ ธันวาคมนะจ๊ะ โรงแรมเหรอ.. จองสักคืนก็ได้มั้ง คืนวันอาทิตย์นะ ส่วนคืนวันเสาร์ ค่อยดูกันอีกทีว่าจะนอนไหน ค่ำไหนนอนนั่นละกัน..


แล้วเราก็ออกเดินทางกันหลังอาหารกลางวัน ไม่มีแผนเลยว่าจะไปไหนบ้าง รู้แต่ว่า ขับไปทางอยุธยา ไปจนถึงนครสวรรค์ แล้วต่อไปพิจิตร ^^ ชอบซะจริง เหมือนได้ผจญภัย(แบบหลอกๆ) 

ระหว่างทาง เห็นสถานที่อะไรไม่รู้ รั้วยาววววเชียว แวะหน่อยๆ...อนุสาวรีย์สมเด็จพระศรีสุริโยทัย ที่ทุ่งมะขามหย่อง...น่ะเอง จำได้แล้ว ที่ในหลวงท่านเสด็จมางัยคะ ตอนนั้นยังอยากจะมาเฝ้ารับเสด็จเลย เพิ่งรู้ว่าอยู่ตรงนี้นี่เอง 




ใครจะมา แนะนำให้มาเย็นๆ น่าจะดี เพราะมีสระน้ำกว้าง บรรยากาศคงสวย แต่ตอนนี้ แดดแรงมากครับ พี่น้องครับ แสบผิวกันเลย (ก็ประมาณบ่ายโมงเศษๆเองน่ะ)

แต่แล้ว ในสภาพแดดร้อนๆ เราก็ชุ่มชื่นด้วยน้ำใจคนไทย คือระหว่างที่เข้าไปกราบท่าน คุณผู้ชายคนหนึ่งที่ไปเที่ยวเหมือนเรา เห็นเราจะกราบมือเปล่า(ก็ไม่มีขาย เราก็จะกราบด้วยใจน่ะค่ะ) เธอเลยเอื้อเฟื้อธูปให้เรา พร้อมไฟแช็คเสร็จสรรพ กำชับด้วยว่าธูปต้องคนละ ๙ ดอกนะครับ เธอว่าเธอพกติดรถไว้ เผื่อผ่านไปไหน แวะลงไปกราบพระ กราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์...น่ารักดีจัง... ขอบคุณนะคะ


แน่ะ ป้ายเลี้ยวซ้ายไปจ.อ่างทอง ไปกันมั้ย..ตามเคย เพื่อนร่วมทางแสนดี ไม่มีปฏิเสธ พอเลี้ยวไป เห็นป้ายวัดป่าโมก ชื่อคุ้นๆหูนะ เราตั้งใจจะไหว้พระให้ครบ 9 วัดนี่ เริ่มที่อ่างทองเลยละกัน ขับไปตามป้ายบอกทางละค่ะ ที่ป้ายจะเขียนวงเล็บไว้ด้วยว่า “หลวงพ่อโต(พูดได้)” ทำให้เราอยากรู้มากว่าพูดได้อย่างไร

วัดที่ ๑ : วัดป่าโมกวรวิหาร อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง

ตามป้ายมาเรื่อยๆก็ถึงวัด อยู่ริมแม่น้ำค่ะ บรรยากาศในวัดเงียบๆ มีคุณลุงนั่งโขกหมากรุกกันอยู่ ๕-๖ คน มีแม่ชีดูแลเรื่องดอกไม้ธูปเทียน แม่ชีชวนให้มาสวดมนต์ข้ามปีด้วยค่ะ ^^ อ่านป้ายแนะนำวัด พบว่าวัดนี้มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา สิ่งสำคัญคือ พระพุทธไสยาสน์ และ มณฑปพระพุทธบาท เราเข้าไปกราบพระพุทธไสยาสน์ก่อน 

เป็นพระพุทธไสยาสน์ที่งดงามมากองค์หนึ่ง ชอบพระพักตร์ท่าน เหมือนอมยิ้มนิดๆ ดูแล้วสบายใจ ความยาวจากพระเมาลีถึงปลายพระบาท ประมาณ ๑๒ วา ( ๒๒.๕๘ เมตร) ก่ออิฐถือปูนปิดทอง ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างและใครเป็นผู้สร้าง แต่มีในพระราชพงศาวดารในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ว่า ก่อนพระองค์จะยกทัพไปรบกับพระมหาอุปราช ได้เสด็จมาชุมนุมพลและถวายสักการะบูชาก่อนยกทัพไปตีพม่า 

ต่อมา ด้วยองค์พระพุทธไสยาสน์และพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำและเป็นคุ้งน้ำ น้ำจึงเซาะตลิ่งพังลงไปจนใกล้ถึงองค์พระ สมเด็จพระเจ้าท้ายสระจึงได้โปรดเกล้าฯ ให้พระราชสงครามเป็นนายกองดำเนินการชะลอพระพุทธไสยาสน์ ให้ลึกเข้ามาจากฝั่ง ๔ เส้น ๔ วา แล้วสร้าง พระวิหารสำหรับพระพุทธไสยาสน์ใหม่

นอกจากนั้นยังมีโคลงพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ เรื่อง การชะลอพระพุทธไสยาสน์ เมื่อครั้งเป็นกรมพระราชวังบวร ฯ นิพนธ์ ถวายสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เป็นจำนวนโคลง ๑๒๘ บท มีสำนวนตามบทที่ ๒ ดังนี้
                            ตะวันลงตรงทิศทุกัง          แทงสาย

                            เซราะฝั่งพงรหุรหาย          รอดน้ำ

                            ขุดเขื่อนเลื่อนทลมทลาย    ริมราก

                            ผนังแยกแตกแตนซ้ำ         รูปร้าวปฏิมา

รอบๆองค์พระนอน มีพระพุทธรูปตั้งเรียงราย มีรูปวาดเล่าเรื่องการชะลอย้ายองค์พระมายังที่ตั้งวิหารใหม่ แต่ไม่มีป้ายตรงไหนที่อธิบายคำว่า “หลวงพ่อโต(พูดได้)” อยากรู้ๆๆอะ :( เดินคิ้วขมวดต่อมายังมณฑปพระพุทธบาท (-"-)

เข้ามาเจอคุณป้าที่เฝ้ามณฑป เธอจึงเล่าให้ฟังว่า สมัยพระพุทธเจ้าหลวง มีเรื่องโจษจันกันว่า พระนอน ที่วัดป่าโมกพูดได้ มีทั้งพระและฆราวาสได้ยิน ท่านบอกตำรายา ซึ่งนำไปรักษาคนไข้หาย ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ พระองค์จึงได้เสด็จมานมัสการองค์พระนอน... อ้อ กระนี้เอง ขอบคุณค่ะ ป้าขา (ป้าใจดีมากเลย ดูลายมือให้ด้วยล่ะ อิอิ)

วัดที่ ๒ : วัดขุนอินทประมูล อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง

ที่วัดป่าโมกมีแผนที่ท่องเที่ยว จ.อ่างทอง เรายืนดูกัน มีที่ที่เราอยากไปมาก คือ วัดม่วง แต่ดูจะออกนอกเส้นทางที่เราจะขึ้นเหนือไปนครสวรรค์อยู่นะ จึงตัดสินใจไปวัดขุนอินทประมูลดีกว่า คิดว่าเคยไปมาเมื่อหลายๆปีก่อน (รึเปล่าน๊อ..) จำภาพพระนอนองค์ใหญ่ ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง มีเสาอิฐเรียงรายอยู่รอบๆได้ ระหว่างทาง ก็ขับวนๆหลงๆบ้าง ^__^

มองจากถนนเข้าไปเห็นเจดีย์หรืออะไรไม่รู้ สวยดี แต่ไม่ได้แวะหรอกค่ะ มาค้นจากเน็ตภายหลังพบว่า คือ พระธาตุเจดีย์ศรีโพธิ์ทอง วัดท่าอิฐ

พอเจอวัดเลี้ยวเข้าไปตามถนน นาข้าวเขียวววว สวยยยย ไปไหว้พระก่อนละกันนะคะ เลี้ยวเข้าวัด เห็นมีก่อสร้างโบสถ์ใหญ่โตด้านข้าง แต่เราไม่ได้แวะดู(กลับบ้านมาอ่านเจอในเน็ตว่า เป็นพระอุโบสถใหม่ มูลค่าก่อสร้าง ๑๐๐ ล้านบาท เป็นโบสถ์ hitech มีทั้งลิฟต์ บันไดเลื่อน เบาะนั่งไฮโดรลิก !!!) 

เราขับมุ่งตรงเข้าไปจอดหน้าองค์พระเลย จอดรถเสร็จ เงยหน้ามอง...อึ้ง !!! เขากำลังบูรณะอะ ยังไม่แล้วเสร็จเลย แป่ว  

วัดนี้เป็นวัดโบราณ สร้างขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัย พิจารณาจากซากอิฐแนวเขตเดิมคะเนว่าเป็นวัดขนาดใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ที่ใหญ่และยาวที่สุดในประเทศไทยมีความยาวถึง ๕๐ เมตร (๒๕ วา) เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหารแต่ถูกไฟไหม้ปรักหักพังไป เหลือแต่องค์พระตากแดดตากฝนอยู่กลางแจ้งมานานนับเป็นร้อยๆปี องค์พระพุทธรูปมีลักษณะและขนาดใกล้เคียงกับพระนอนจักรสีห์ จังหวัดสิงห์บุรี สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยเดียวกัน 

ตามประวัติเล่ากันว่า ขุนอินทประมูล ท่านเป็นนายอากร มีความตั้งใจจะสร้างวัดและบูรณะพระพุทธไสยาสน์ โดยนำทรัพย์ส่วนตัวประมาณ ๑๐๐ ชั่ง มาสร้างวิหารและเจดีย์ แต่เมื่อจะบูรณะพระนอนด้วย ต้องใช้ทุนทรัพย์หลายร้อยชั่ง จึงยักยอกเอาเงินของหลวงมาสร้างเพื่อเป็นปูชนียสถาน ครั้นความทราบถึงเบื้องบน พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศโปรดเกล้าฯ ให้พระยากลาโหมมาไต่สวน  ขุนอินทประมูลให้การภาคเสธ จึงถูกลงทัณฑ์ เมื่อใกล้สิ้นใจจึงได้สารภาพ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทราบความ ก็เสด็จขึ้นมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง  ทรงเห็นว่าขุนอินทประมูลมีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง จึงพระราขทานนามวัดว่า “วัดขุนอินทประมูล” 

เราตั้งใจว่าจะกลับไปใหม่ ตอนที่บูรณะองค์พระนอนเสร็จแล้ว และจะมาดูโบสถ์ hitech ด้วย ส่วนวันนี้เราสนุกสนานกับกวางน้อยหน้าองค์พระไปก่อน อิอิ สนามหญ้าหน้าองค์พระเขียวมากทีเดียว แถมมีกวางน้อยประดับบนสนามอีก ๒ ตัว ตลกดีอะ เหมือนสนามหญ้าตามบ้าน หรือ สนามกอล์ฟมากกว่านะคะ 

ออกจากวัด ก็แวะถ่ายภาพกับนาข้าวงามๆสักหน่อย...งามมั้ยคะ (ถามถึงนาข้าวนะ ^^)

วัดที่ ๓ : วัดไชโยวรวิหาร อ.ไชโย จ.อ่างทอง

เราตั้งใจจะขับรถออกไปถนนสายเอเชีย เพื่อตรงไปจ.นครสวรรค์ แต่ผ่านมาเห็นวัดไชโย หรือ วัดเกษไชโย เป็นวัดใหญ่เลยลองแวะเข้ามา แล้วก็พบว่างามมาก โดยเฉพาะภาพจิตรกรรมฝาผนัง 

วัดไชโยเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร เดิมเป็นวัดราษฏร์สร้างมาแต่ครั้งใดไม่ปรากฏ มีความสำคัญขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรีได้ขึ้นมาสร้างพระพุทธรูปปางสมาธิองค์ใหญ่หรือหลวงพ่อโตไว้กลางแจ้ง องค์พระเป็นปูนขาวไม่ปิดทอง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จฯ มานมัสการและโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดไชโยขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๐ แต่แรงสั่นสะเทือนระหว่างการลงรากฐานพระวิหารทำให้องค์หลวงพ่อโตพังลงมาจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหลวงพ่อโตขึ้นใหม่ตามแบบหลวงพ่อโต วัดกัลยาณมิตร มีขนาดหน้าตักกว้าง ๘ วา ๖ นิ้ว สูง (สุดยอดรัศมีพระ) ๑๑ วา ๑ ศอก ๗ นิ้ว และพระราชทานนามว่า “พระมหาพุทธพิมพ์”

องค์หลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่ในพระวิหารที่มีความสูงใหญ่สง่างามแปลกตากว่าวิหารแห่งอื่นๆ จึงมีพุทธศาสนิกชนจากที่ต่างๆ มานมัสการอย่างไม่ขาดสาย

ติดกับด้านหน้าพระวิหารมีพระอุโบสถก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมไทยอันงดงามหันด้านหน้าออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ ๕
ภาพนี้เข้าใจว่า เป็นช่วงที่เจ้าชายสิทธัตถะจะออกบวช เดาอย่างนั้นเพราะมีม้ากัณฐกะ
สองภาพข้างล่างนี้ นึกไม่ออกว่าตอนไหนเหมือนกัน ไม่เชี่ยวชาญพุทธประวัติ

ภาพนี้ชัดเจน ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จสวรรคต

ส่วนในวิหารที่หันหน้าออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาประดิษฐานรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ขนาดหน้าตักกว้าง ๕ เมตร สูง ๗ เมตร สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๗

จากป้ายคำขวัญเมืองอ่างทอง พบว่าเราได้มาเยือน highlight เมืองอ่างทองโดยไม่ได้ตั้งใจนะ โชคดีจัง

จากวัดไชโยก็มุ่งหน้าตรงไปนครสวรรค์ค่ะ ระหว่างทางตะวันชิงพลบ แสงสวยมากทีเดียว เราถึงนครสวรรค์มืดพอดี ผ่านเข้าไปหาข้าวต้มทานกันก่อนดีกว่า ที่นี่ร้านข้าวต้มเยอะดี เสียแต่จอดรถยาก ระหว่างทานข้าว เราก็ได้โรงแรมที่อยู่ปากทางพอดี ไม่ต้องขับไปไหน แค่ย้อนไปนิดหนึ่ง 

Bonito Chinos Hotel โรงแรมค่อนข้างใหม่ มีที่จอดรถมากพอควร แต่วันที่เราไป โรงแรมมีงานแต่งงานพอดี เลยหาที่จอดรถยากหน่อย มี Free wifi บนห้องพักด้วยค่ะ แล้วในห้องมีหนังสือนำเที่ยวจ.นครสวรรค์ด้วย นั่งอ่านๆดู ก็มีอะไรให้เที่ยวหลายแห่ง แต่วัดหลายวัดที่น่าสนใจ ดูจะอยู่ไกล...มาคราวนี้แปลก อยากไปเที่ยว แต่ทำไมออกจะขี้เกียจขับรถ ๕๕๕๕


(ขอบคุณข้อมูลจาก www.TATsuphan.net , www.khaosod.co.th และ wikipedia)

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวสุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่ ตอน ๒

29 ตุลาคม 2555

วันนี้ เราตื่นแล้วก็ออกเดินทางไปปราสาทศีขรภูมิกันเลย เพราะประสบการณ์เมื่อวานคือ แดดจัดมากกกก ถ้าออกสายเราคงแย่ แต่ขนาดนั้น..แดดก็จัดจ้าเสียเหลือเกิน ฟ้าเป็นฟ้า แทบไม่มีเมฆเลย สวยจริง แต่เราก็เหมือนอาบเหงื่อต่างน้ำเลยทีเดียว ^^

ปราสาทศีขรภูมิประกอบด้วยปรางค์อิฐ 5 องค์ องค์กลางเป็นปรางค์ประธาน มีปรางค์บริวารล้อมรอบอยู่ทีมุมทั้งสี่สร้างบนฐานเดียวกัน ก่อด้วยหินทรายและศิลาแลง ปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออกมีบันไดทางขึ้นและประตูทางเข้าเพียงด้านเดียวคือ ด้านทิศตะวันออกเช่นกัน

ปรางค์ทั้ง 5 องค์ มีลักษณะเหมือนๆ กันคือ องค์ปรางค์ไม่มีมุข มีประตูทางเข้าเพียงด้านเดียว มีชิ้นส่วนประดับทำจากหินทรายสลักเป็นลวดลายต่างๆ ทั้งส่วนที่เป็นทับหลังเสาประดับกรอบประตู เสาติดผนัง และกลีบขนุนปรางค์ ส่วนหน้าบันเป็นอิฐประดับลวดลายปูนปั้น องค์ปรางค์ประธานมีทับหลังสลักเป็นรูปศิวนาฎราช(พระอิศวรกำลังฟ้อนรำ) บนแท่นมีหงส์แบก 3 ตัวอยู่เหนือเศียรเกียรติมุข มีรูปพระคเนศ พระพรหม พระวิษณุ และนางปารพตี (นางอุมา) อยู่ด้านล่าง เสาประตูสลักเป็นลวดลายเทพธิดาลายก้ามปูและรูปทวารบาล

ทับหลังศิวนาฎราช ที่ศีขรภูมินี้ แกะสลักได้งดงามจริงๆ


จากลวดลายทีเสารและทับหลังของปรางค์ประธานและปรางค์บริวารทั้ง 4 องค์ มีลักษณะปนกันระหว่างรูปแบบศิลปะขอมแบบบาปวน (พ.ศ.1550-1650) และแบบนครวัด ( พ.ศ.1650-1700) จึงอาจกล่าวได้ว่า ปราสาทแห่งนี้คงสร้างขึ้นในราวกลางพุทธศตวรรษที 17 หรือต้นสมัยนครวัด โดยสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย และคงถูกดัดแปลงให้เป็นวัดในพุทธศาสนาตามที่มีหลักฐานการบูรณะปฏิสังขรณ์ในราวพุทธศตวรรษที่ 22 ในสมัยอยุธยาตอนปลาย
(ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซด์จ.สุรินทร์ค่ะ)

นางอัปสร...ตั้งแต่ไปเที่ยวชมปราสาทขอมมาหลายแห่ง เพิ่งเห็นนางอัปสรที่ศีขรภูมินี้เป็นแห่งแรก ไม่เคยเห็นที่อื่นมาก่อนเลยในเมืองไทย ก็งามเทียบเท่านางอัปสรที่นครวัตล่ะค่ะ

ที่จริงแล้ว ออกเสียดายว่า ที่นี่เหลือของงามๆให้เห็นน้อยไปหน่อย ไม่เหมือนพนมรุ้งที่มีทั้งทับหลัง หน้าบัน และภาพแกะสลักตามมุมนั้นมุมนี้ให้ดู แต่จะอย่างไร เราก็พอใจกับสิ่งที่ได้เห็นล่ะ แถมวันนี้ ฟ้าก็สวย ถึงแดดจะร้อนมากก็เถอะ ^^

ที่อ.ศีขรภูมินี้ มีของฝากสำคัญ คือ กาละแมค่ะ อร่อยดี มีร้านขายอยู่ตรงข้ามปราสาทเลยล่ะค่ะ 

เรากลับเข้าโรงแรมเพื่ออาบน้ำและ check out ออกจากโรงแรม หิวซ่กเลย วนหาร้านก๋วยเตี๋ยว แต่่ส่วนมากจะมีปัญหาว่าจอดรถไม่ได้ วนไปวนมา ไปเจอหอนาฬิกาที่พยายามหาตั้งแต่วันแรก โธ่เอ๋ย...อยู่แค่นี้เอง กลางคืนวนหาไม่เจอ พลาดของอร่อยเมือสุรินทร์ไปหนึ่งอย่าง แต่วันนี้ก็บังเอิญเจอร้านขายของฝาก ลงไปซื้อกันก่อนค่ะ ซื้อข้าวเมืองสุรินทร์ไปลองทาน ซื้อหมูแก้ว กุนเชียง กับ หัวไชโป๊
ตอนที่ซื้อพี่คนขายเอากุนเชียงมาให้ชิม เราก็ว่าอร่อยดี แต่ไม่รู้ว่าเพราะหิวรึเปล่า แต่ก็ซื้อติดมือมาด้วย ปรากฎว่า มีแต่คนชมว่าอร่อยๆๆ จนเสียดายว่าซื้อมาน้อยไป และจำไม่ได้ด้วยว่า ยี่ห้ออะไร ป้ายร้านก็ถ่ายมาไม่ครบ เฮ้อ...  (แต่ถ้าไปเองก็ไปซื้อถูกละน่า)

หิวเต็มที่ พี่ที่ร้านของฝากบอกทางไปร้านก๋วยเตี๋ยวให้ ท่าทางพี่แกไม่ค่อยให้ความมั่นใจเราเลยว่าจะอร่อย แต่พอไปถึงหน้าร้าน ก็...อ๋อ ลูกชิ้นชุมพล อ่านเจอในเน็ตมา อร่อยแน่ มื้อนี้ อิอิ
เข้าใจว่า เขาดังก๋วยเตี๋ยวเนื้อนะคะ แต่เขาก็มีอย่างอื่นขายด้วยค่ะ 

อิ่มแล้ว ก่อนออกเดินทาง เราแวะไหว้พระที่วัดบูรพารามกันก่อนวัดบูรพาราม เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี มีอายุประมาณกว่า 200 ปี เท่าๆ กับอายุของเมืองสุรินทร์ สร้างโดยพระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์ จางวาง (ปุม) เจ้าเมืองสุรินทร์คนแรก สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2300-2330 โดยประชาชนร่วมกันสร้างขึ้น เรียกชื่อว่า "วัดบูรพ์"

เดิมเป็นวัดมหานิกาย เป็นวัดเก่าแก่มีพัฒนาการที่ยาวนานตามยุคตามสมัย ต่อมาใน ปี พ.ศ. 2476 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโสอ้วน) ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑล ได้อนุมัติให้วัดบูรพ์เป็นวัดในสังกัดคณะธรรมยุต และได้นิมนต์พระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ซึ่งปฏิบัติธุดงค์กรรมฐานอยู่ ให้มาประจำอยู่ที่วัดบูรพาราม ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส


เราเดินทางกลับด้วยถนนคนละเส้นกับขามา แต่ขับไปตามป้าย ถนนดี ไม่ค่อยมีรถ ถ้าเป็นกลางคืนคงเสียวๆเหมือนกัน เรายังไม่ได้กลับกรุงเทพหรอกค่ะ แวะมานอนแถวเขาใหญ่กันสักคืนหนึ่งก่อน Kensington English Garden Resort คือเป้าหมายของเราค่ะ มาถึงตอนบ่ายๆ อากาศดี เริ่มเย็นนิดๆแล้ว รีสอร์ทก็สวยค่ะ แต่คาดหวังดอกไม้ว่าจะสวยกว่านี้ เห็นคนสวนบอกว่า 2 อาทิตย์ที่แล้ว ดอกไม้สวยกว่านี้ อ้าววววว




เราเดินเล่น ชมรีสอร์ทกันจนเริ่มมืด ค่อยกลับมาอาบน้ำเตรียมตัวทานอาหารเย็น เราตกลงกันว่าจะทานอาหารในโรงแรม เพราะถนนแถวนี้ออกจะมืด เราก็ไม่ชินทางด้วย แล้วเราก็ครองห้องอาหารค่ะ King George dining room ห้องสวยมากค่ะ สีสันสะใจมาก ถ่ายรูปเล่นกันสนุกเลย อิอิ


อาหารก็อร่อยใช้ได้ค่ะ อิ่มมากกกก 


อิ่มจนต้องมาเดินเล่น นั่งเล่นแถว lobby ก่อนกลับไปห้อง 

คืนนี้ พระจันทร์สวยมากค่ะ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันพระใหญ่

30 ตุลาคม 2555
เช้านี้ เรา chill chill ใครใคร่ตื่นเช้า ตื่น ใครใคร่นอน นอน...5555 คงเดาได้นะคะว่าใครนอน
เราใช้เวลาทานอาหารเช้ากันสบายๆ และเก็บภาพสวยๆกันอีกหน่อย กว่าจะออกจากรีสอร์ทก็เกือบเที่ยงล่ะค่ะ



เราสรุปกันว่า รีสอร์ท ก็สวยดี อาหารใช้ได้ ดอกไม้งาม แต่ที่เราชอบมากคือ พนักงานค่ะ เราว่าพนักงานที่นี่ได้รับการอบรมมาดี น่ารัก เข้าใจคำว่า "บริการ" ค่ะ

ระหว่างทางกลับกรุงเทพ ผ่าน Palio ก็อดแวะเข้าไปไม่ได้ เป็นช่วงเทศกาล Halloween พอดี ก็ได้ภาพแปลกๆตามาบ้าง



ทริปนี้ ก็จบลงที่ตรงนี้ละค่ะ มีความสุขทุกครั้งที่ได้เดินทาง เมืองไทยเรายังมีสถานที่ต่างๆที่น่าสนใจ และสวยงามอีกมาก ใครหาเพื่อนเดินทางน่ารักๆได้อย่างป้าตุ่ม ก็แพคกระเป๋าออกเดินทางกันเถอะค่ะ ^^

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวสุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่ ตอน ๑


27 – 30 ตุลาคม 2555 :สุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่


13 มีนาคม เป็นวันช้างไทย เขาประกาศกันมาตั้งแต่ปี 2541 เราเพิ่งรู้...นี่แหละประโยชน์ของ social media^^


พูดถึงช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ทำให้นึกถึงทริปที่ไปเที่ยวสุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่ขึ้นมา จำไม่ได้ว่า ทำไมตอนนั้นเราถึงนึกอยากจะไปสุรินทร์กัน จำได้แต่เพียงว่า ตอนวางแผนจะไปเที่ยว ก็เข้าไป search เรื่องเมืองสุรินทร์ ทึ่งว่าเมืองนี้มีปราสาทขอมถึงสามสิบกว่าแห่งเชียว แต่พอเข้าไปค้นข้อมูลมากๆเข้า กลายเป็นว่าส่วนมากจะเป็นปราสาทขนาดเล็ก และแทบจะไม่เหลือหน้าบัน หรือทับหลังสวยๆให้ชื่นชม เราจึงเลือกแวะตามความสะดวกของทางผ่านเป็นหลัก แต่มีที่หนึ่งที่ต้องไป คือ ปราสาทศรีขรภูมิ เพราะได้ยินชื่อบ่อยมาก

โปรแกรมเราเริ่มออกเดินทางกันสายๆของวันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม 2555 ออกจะแปลกใจว่าทำไมรถเยอะขนาดนี้ ไม่ใช่ long weekend สักกะหน่อย

แล้วเราก็พบว่า ที่รถติดเป็นเพราะมีการซ่อมถนนเป็นระยะๆ บางทีซ่อมแค่ 100 เมตรเอง ทำรถติดไปหลายกิโล ไม่รู้ถนนเสียจากน้ำท่วมใหญ่ปีก่อน ยังซ่อมไม่แล้วหรืออย่างไร


เราเลยมุ่งหน้าตรงปากช่อง เพื่อแวะทานข้าว 
กว่าจะถึงก็เที่ยงกว่าๆเข้าไปแล้ว นี่ค่ะ Mori(ta)
ร้านนี้ ได้ยินชื่อมานานแล้ว เพิ่งได้แวะครั้งนี้ล่ะ



โอ้...พอเดินเข้าร้านไป อึ้ง !!!
บรรยากาศเปลี่ยนทันที จากสภาพแดดร้อนๆ มาเป็นร่มเย็นจากเงาไม้ใหญ่


เราจับจองที่นั่งในส่วนที่อยู่ในเพิงไม้ นั่งกับพื้น มองลงไป เห็นธารน้ำไหลเอื่อยๆ ลมพัดผ่านมาเย็น เพิ่มพัดลมอีกตัว แทบจะเอนตัวลงนอนเลยทีเดียว ถ้าเขาไม่ยกอาหารมาเสริฟเสียก่อน 5555






กองทัพเดินด้วยท้อง...slogan ป้าตุ่ม

สั่งหลายอย่างมาก เพื่อนๆก็..เอาเลย.. สั่งเลย..  กิน..
อะไรมั่งน๊อ...

..ยำสาหร่ายญี่ปุ่น
..ยำซีฟู้ด
..หัวปลาแซลมอนต้มซีอิ๊ว
..ท้องปลาแซลมอนย่างซีอิ๊ว
..ไข่หวาน
..ข้าวห่อสาหร่อย
..ยากิโซบะ (โชคดีที่เขาลืม อิอิ)

อาหารอร่อย สด รสชาติดี แถมราคาไม่แพง...ผ่านมาคงได้แวะเวียนมานอน เอ๊ย มากินอีกแน่ๆ
อิ่มแล้วก็ตาปรือ... m(=0=)m

โอ้เอ้ อยู่นานกว่าจะเริ่มออกเดินทาง คิดว่าไม่นานหรอก สุรินทร์อีกไม่กี่ร้อยโล
เอาเข้าจริงกว่าจะไปถึงก็เกือบเย็น เป็นเพราะถนนเส้นนี้ เราเคยโดนคุณตำรวจเรียก คราวนี้ จึงคอยมองเข็มไมล์อยู่ตลอด แล้วก็มาเจอเขาซ่อมถนนช่วงก่อนถึงเมืองสุรินทร์อีก
ดีนะที่ผ่านมาโดยไม่แวะพนมรุ้ง ไม่แวะเมืองต่ำ ไม่งั้นคงได้ค่ำกลางทาง นโยบายเราคือ ไม่ขับรถกลางคืน (ถ้าไม่จำเป็น)


แต่ก่อนเข้าเมือง ก็ขอแวะปราสาทบ้านพลวงเสียก่อน ขากลับจะได้กลับทางอื่น ไม่ต้องเสียเวลาย้อนมา


ที่เช็คข้อมูลจากเน็ตมาเวลาทำการ 8.00 – 16.00 น. แต่นี่สี่โมงแล้วหนา จะโทร.ถามศูนย์นักท่องเที่ยว ก็จะเลยเวลาทำงานของราชการไทยอีก สุดท้ายตัดสินใจว่า ไหนๆก็ผ่านแล้ว แวะเข้าไปกันเถอะ
พิโธ่เอ๋ย จะมากี่โมงก็ได้ค่ะ เพราะเป็นบริเวณโล่ง มีไม้กั้นสูงขนาดเข่าเท่านั้นเอง


ปราสาทบ้านพลวงได้รับการบูรณะเมื่อปี 2515
เป็นปราสาทหินขนาดเล็ก มีปรางค์องค์เดียว ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางตะวันออก มีประตูทางเข้าทางเดียว นอกนั้นเป็นประตูหลอก

ซึ่งเมื่อเทียบขนาดขององค์ปรางค์กับฐานแล้ว มีพื้นที่ด้านข้างองค์ปรางค์เหลืออยู่มาก จึงเป็นที่สันนิษฐานกันว่า แผนผังของปราสาทองค์นี้น่าจะเป็นปรางค์ 3 องค์เรียงกัน แต่อาจจะยังสร้างไม่เสร็จ หรืออาจถูกรื้อออกไป ก็เป็นได้
องค์ปรางค์ที่เหลือให้เห็นนั้น ก่อด้วยศิลาแลง หินทราย และมีอิฐเป็นส่วนประกอบ ปัจจุบันเหลือให้เห็นอยู่เพียงครึ่งเดียว ส่วนยอดหักหายไป แต่ยังคงเหลือลวดลายแกะสลักงดงาม จากทับหลัง หน้าบัน และซุ้มประตู
                 
ทุกครั้งที่มาเยี่ยมชมปราสาทโบราณทั้งหลาย จะประทับใจกับลวดลายต่างๆ ว่าช่างฝีมือสมัยก่อน สามารถทำให้หินแข็งกระด้างแลดูอ่อนช้อย งดงามได้ ส่วนตัวเชื่อว่า เขาน่าจะมีความสุขในระหว่างที่สร้างสรรค์งานศิลปะเหล่านี้

สันนิษฐานกันว่าปราสาทแห่งนี้คงสร้างขึ้นสำหรับพระอินทร์ ลักษณะของทับหลังที่พบส่วนมากสลักเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณอยู่ภายในซุ้มเหนือหน้ากาล ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกและทิศใต้
หน้ากาลคายท่อนพวงมาลัยออกมา 2 ข้าง ..เห็นไหมคะ หน้ากาลเอามือจับพวงมาลัยไว้

สำหรับหน้าบันด้านทิศตะวันออกสลักเป็นรูปพระกฤษณะ ยกภูเขาโควรรธนะและเช่นเดียวกัน มีรูปสลักเป็นรูปสัตว์เล็ก ๆ นอกกรอบหน้าบันอันน่าจะแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ เพราะมีแหล่งน้ำต่าง ๆ อยู่มาก

ส่วนทางด้านทิศเหนือ หน้าบันสลักเป็นรูปพระกฤษณะฆ่านาค มองในรูปมองออกจะยากอยู่สักหน่อยนะคะ

อ้อ...ทับหลัง คือ แผ่นหินสี่เหลี่ยนผืนผ้าที่อยู่เหนือประตู ส่วนหน้าบัน ก็คือส่วนที่อยู่สูงขึ้นไปค่ะ พูดภาษที่โบราณน้อยหน่อย ก็คือ จั่ว...เด็กแนวจะรู้จักไหมเนี่ย..^^

ที่ผนังด้านหน้ามีรูปทวารบาลยืนกุมกระบอง..ให้นับว่ามีทวารบาลกี่ตน อิอิ

ลักษณะของปราสาทหินองค์นี้คล้ายกับปรางค์น้อยบนเขาพนมรุ้ง ลวดลายเป็นลักษณะศิลปะขอมแบบ บาปวน กำหนดอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 คือเก่ากว่าพวกนครวัดนะคะ เป็นปราสาทขอมรุ่นแรกๆ
เราออกจากปราสาทบ้านพลวงตอนตะวันใกล้จะตกดินพอดี ตอนแรกตั้งใจว่า จากปราสาทบ้านพลวงตรงเข้าเมืองจะผ่านห้วยเสนงซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำ อ่านมาในเน็ตว่า บรรยากาศร่มรื่น ชิลๆ มีร้านอาหาร

แต่น้องที่บ้านอยู่สุรินทร์ยืนยันก่อนมาเลยว่า ไม่ต้องแวะ ไม่มีอะไร บ้านหนูอยู่ตรงนั้น ก็จ้ะ ป้าเชื่อ ไม่แวะก็ได้ เพราะฟ้ามืดเร็วจัง

เราตรงเข้าที่พักก่อน คือที่ โรงแรมสุรินทร์ มาเจสติก อยู่ติดบขส. ห้องพักก็ใช้ได้ สบายดี เข้าที่พักล้างหน้าล้างตากันแล้ว ก็ออกมาหาอะรัยใส่ท้องกัน ตั้งใจไปทานบะหมี่ ตรงหอนาฬิกา เพราะในเน็ตบอกว่าอร่อยม๊ากกก ถามเจ้าหน้าที่โรงแรมก็ทำท่างงๆ เอาน่า วนๆหาเอาก็ได้
ปรากฎว่าเมืองสุรินทร์ยามค่ำคืนดูเงียบดีจัง มีห้างอะรัยสักอย่าง แวะเข้าไปก็กำลังจะปิด ถามชาวบ้านว่าหอนาฬิกาไปทางไหน ก็พูดกันไม่เข้าใจ เขาชี้ๆให้ เราเดินไปก็ไม่เห็น สุดท้ายวนๆรถไปที่สว่างๆว่ามีร้านรัยน่าทานบ้าง ก็หาไม่ได้ มีแต่ร้านอาหารเงียบเหงา นึกว่าจะต้องออกไปปากทางเข้าเมืองที่เราผ่านมาเมื่อตอนเย็น เห็นเป็นตลาดโต้รุ่งผู้คนมากมาย แต่เราก็เป็นโรคขี้เกียจฟัดคนกัน

โชคดีวนมาหน้าสถานีรถไฟ มีร้านข้าวต้มใหญ่ 2 คูหา คนนั่งกันเต็ม ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ปักหัวรถเข้าไปเลย สรุปว่าอาหารอร่อยทีเดียว อิ่มกันแล้ว ก็กลับโรงแรมไปนั่งดูกันว่าพรุ่งนี้เราจะไปไหนกันดี ที่เที่ยวอยู่คนละทิศละทาง


HHHHHHHHHHHH

เช้าวันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม ตื่นมาดูดินฟ้าอากาศแล้วก็สรุปกันว่า เช้านี้เราไปพนมสวายกันดีกว่า เพราะท่าทางอากาศจะร้อนเอาเรื่อง (ไอ้ที่คุยไว้เมื่อคืน ก็เป็นเรื่องของเมื่อคืน เปลี่ยนใจกันได้ตาหลอด..อิอิ)

ออกจากโรงแรมมาถึงวงเวียนที่เราเห็นตั้งเมื่อคืน แวะจอดถ่ายรูปกันหน่อย เป็นอนุสาวรีย์พระยาสุรินทรภักดีณรงค์จางวาง(ปุม) อดีตเจ้าเมืองสุรินทร์น่ะค่ะ 

แต่เดิมนั้น ท่านเป็นหัวหน้าหมู่บ้านเมืองที แล้วได้ไปช่วยจับช้างเผือกที่หนีมาจากกรุงศรีอยุธยา ให้แก่สมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์อัมรินทร์ จึงได้แต่งตั้งให้มีศักดิ์เป็นคุณหลวง ซึ่งช่วงนั้นชาวหมู่บ้านเหล่านี้กับชาวกรุงศรีอยุธยายังไม่ได้รู้จักกัน  ต่อมาท่านได้ย้ายหมู่บ้านจากเมืองที ที่คับแคบไปยังบ้านประทายสมันต์ ที่ตั้งเมืองสุรินทร์ในปัจจุบัน แล้วได้นำของไปทูลเกล้าถวาย จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้มีบรรดาศักดิ์สูงขึ้น เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองประทายสมันต์นับแต่นั้นมา

เพิ่งสังเกตเห็นว่าด้านข้างมีรูปปั้นช้างโขลงหนึ่งด้วย เข้าใจทำนะคะ  ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะลงมาถ่ายรูปเล่นแบบเรามั้ย       สัญลักษณ์เมืองนี้เนาะ                                                                                  ระหว่างถ่ายรูปกัน มีน้องชายนายหนึ่งเดินผ่านมา เขาเข้ามาคุยด้วย                                                                                 อิอิ...ฟังไม่ออกง่ะ  แต่ก็ยิ้มๆพยักหน้ารับคำไปตามเรื่อง แต่น้องก็ไม่ไปสักที เลยบอกให้น้องไปยืนหน้าช้าง ถ่ายรูปให้แล้วโชว์รูปให้ดู                                                              
น้องยิ้มแทบปากฉีก พูดอะไรอีกเยอะ..ที่ป้าฟังไม่ออก แล้วก็เดินจากไป

...เพิ่งรู้ว่า พูดกะคนบ้ารู้เรื่อง...มีคนค่อนแคะ 
เอาเถอะ ก็เขาไม่ได้มีทีท่าจะเป็นอันตราย เขาได้ยิ้ม เราได้ยิ้ม ก็เป็นการเริ่มวันดีๆวันหนึ่งแล้ว ^^

พนมสวาย อยู่แยกจากถนนหลักสายสุรินทร์-ปราสาทเข้าไปลึกพอควร ระหว่างทางแทบไม่เจอรถอื่น นอกจากรถบรรทุกหิน เพราะสองข้างทางเป็นบ่อหินเป็นช่วงๆ สลับกับทุ่งนา แล้วก็สายตาสะดุดเข้ากับทุ่งนาเขียวใต้ฟ้าใสริมข้างทาง อาการกำเริบเลย นาข้าวโฟเบีย ขอจอดรถลงไปชักรูปหน่อยเถอะค่า เป็นที่พอใจแล้วก็ไปกันต่อ

พนมสวาย...
พนม แปลว่าภูเขา สวาย แปลว่า มะม่วงค่ะ แต่ความที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านต้นไม้ ไม่รู้เหมือนกันว่ามีต้นมะม่วงมากน้อยเพียงไหน


พนมสวายเป็นวนอุทยานพื้นที่กว้างขวางเกือบ 2พันไร่ ประกอบด้วยภูเขา 3 ลูก คือ..
      พนมกรอล(แปลว่า เขาคอก)
      พนมเปร๊าะ(แปลว่าเขาชาย)
      พนมสรัย(แปลว่าเขาหญิง)

เห็นมีหนุ่มสาวคนพื้นบ้านขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาเที่ยวเป็นระยะๆ

ผ่านประตูเข้ามา เราแวะที่สถูปบรรจุอัฐิหลวงปู่ดุลย์ อตุโล กันก่อนเลย ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของภาคอีสาน

ท่านถือกำเนิดที่จ.สุรินทร์ ในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ท่านบวชตั้งแต่อายุ 22 ปี และอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์นานถึง 64 พรรษา  ท่านเป็นพระสายหลวงปู่มั่น

ตอนที่ไป ก็ไม่รู้จักท่านหรอกค่ะ แต่กลับมานั่งอ่านประวัติท่านแล้ว ก็ดูน่าสนใจ เริ่มจากท่านอยากบวชตั้งแต่ยังหนุ่ม พ่อแม่ก็ไม่มีใครยอมให้บวช เนื่องจากท่านเป็นบุตรชายคนโต เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของบ้าน ท่านเพียรขออยู่เป็นปี บิดาท่านจึงยอมให้บวช และสั่งว่า หากไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสก็ไม่ต้องสึก ^^

เมื่อท่านได้บวชแล้ว ก็ยังมีเรื่องราวให้ติดตามต่อ ท่านต้องไปศึกษาพระปริยัติธรรม ถึงจ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นธรรมยุตินิกาย คนละนิกายกับท่าน แม้ท่านจะได้รับอนุญาตให้เรียน แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พักที่วัด อะไรทำนองนี้
เส้นทางชีวิตสงฆ์ ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน
ภายหลังท่านได้พบ หลวงปู่มั่น และศึกษาพระธรรมและได้ออกธุดงค์กับท่านด้วย

เขาทำที่จอดรถไว้ให้ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีกล้วยไม้สวยให้ดูเล่นด้วย


จากที่จอดรถ มองไปเห็นพระองค์ขาว เด่นอยู่กลางท้องฟ้า 
เอ่อ....ป้าจะปีนขึ้นไหวป่ะเนี้ยยยย


ขับรถไปจอดริมถนนทางขึ้น คุณลุงที่ขายดอกไม้บอกว่า
ใกล้นิดเดียว ขึ้นไปเถอะ
คุณลุงขา...บันไดตั้งหลายร้อยขั้นนาคะ
เดินเคาะระฆังไปเพลินๆเดี๋ยวก็ถึง

คุณลุงขายไม้เคาะระฆังด้วย เอากลับไปใช้เกาหลังได้ค่ะ ไม้เนี่ย ถูกด้วย 20 บาทเอง



สองข้างบันไดทางขึ้นแขวนระฆังเรียงรายติดๆกัน เขาเล่าว่าทั้งหมด 1,080 ใบ เดินขึ้นช่วงแรกมาหน่อย...ชักเหนื่อย บันไดขั้นสูงมาก แต่แล้วพอพ้นโค้งมา ก็ขำ ขั้นบันไดเหลือสูงไม่ถึงคืบเลยค่ะ ค่อยสบายใจหน่อยว่าขึ้นถึงแน่ อิอิ

พระพุทธสุรินทรมงคล เป็นพระพุทธรูปนั่งปางประทานพร หน้าตักกว้าง 15 เมตร หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก สร้างเสร็จเมื่อปี 2520 



ข้างบนนอกจากพระพุทธสุรินทรมงคล แล้วในศาลามีพระพุทธรูปองค์ดำ

ไหว้พระเสร็จ ขับรถย้อนกลับมาตรงที่จอดรถสถูปอีกที เพื่อที่จะเดินข้ามสะพานไปดูรอยพระพุทธบาทจำลอง ที่ศาลาอัฏฐะมุข กับ ศาลเจ้าแม่กวนอิม
เจ้าแม่กวนอิมงามมากๆเลยค่ะ

ทางไม่ไกลหรอกค่ะ แต่แดดร้อนจัง ก้มหน้าก้มตาเดิน ถึงได้สังเกตเห็นพื้นบันไดมีรอยจารึกไว้มากมาย บางขั้นเป็นรูป บ้างก็เป็นชื่อคน บ้างก็เป็นคำกลอน เดาเอาเองว่าเป็นการลงแขกช่วยสร้างบันไดกันกระมัง ถ่ายมาให้ดูเล็กน้อยค่ะ อ่านเห็นไหมคะ... "บันไดนี้เพื่อคุณ" ส่วนอีกภาพวาดรูปเสือไว้ ^^ 

ถ้าจะปรับปรุงพื้นที่โดยรอบของมณฑปสักหน่อย จะดูดีมาก เพราะเจ้าแม่กวนอิมงามมากทีเดียว แต่พื้นที่โดยรอบ รกรุงรังไปหน่อย ไม่เหมือนแถวสถูป

ออกจากพนมสวาย เรารีบเข้าเมืองหาส้มตำไก่ย่างใส่ท้องกันก่อนเลย เพราะเรามีนัดตอนบ่ายที่ต้องให้ทัน เราแวร้านเพชรมณี 2 ยู่หลังวัดศาลาลอยค่ะ                                                             พนมสวายดูดพลังงานเราไปเยอะ มาถึงสั่งนั่นนี่โน่น พอเขายกมา ต๊กใจ.. กินไม่หมดแน่เทียว ปริมาณอาหารแต่ละจานช่างต่างกับในเมืองกรุงของเรา ร้านนี้ท่าจะดังนะคะ เราเข้ามาแป๊บเดียวคนเต็มร้านเลย แถมมีคนมาซื้อกลับบ้านอีกตลอดเวลา

อิ่มอร่อยกันแล้ว แวะเข้าโรงแรมล้างหน้าล้างตัวกันหน่อย ที่จริงอากาศเช้าๆเย็นๆ ดีทีเดียวนะคะ แต่แดดออกแล้ว ร้อนฝุดๆ...(ภาษาเด็กแนวอะ)

แล้วเราก็รีบออกเดินทาง เพราะมีนัดตอนบ่ายสอง เวลามาต่างจังหวัด ป้ากะเวลาขับรถไม่ถูก แม้จะรู้ระยะทาง เพราะเราไม่รู้ว่าถนนเป็นอย่างไร ที่สุรินทร์นี่ ถนนส่วนใหญ่เป็น 2 เลนที่ต้องสวนกันนะคะ สองข้างทางส่วนมากจะเป็นนาข้าว ซึ่งช่วงเวลานี้ยังเห็นเป็นสีเขียวๆอยู่

ขับรถกันไปมองป้ายข้างทางไปตลอด โชคดีที่ไม่หลง แม้จะไม่ค่อยมั่นใจในเส้นทาง เพราะป้ายบอกทางกับสถานที่ที่เราจะบางทีก็เขียนไม่ตรงกัน ปกติมักอ้างกับตัวเองว่า หลงบ้างรัยบ้างเป็นเสน่ห์ของการเดินทาง 5555 ตามประสาคน lowtech ที่ขี้รำคาญ คือจะรำคาญเสียงคุณ GPS อย่างมากกกก
เรามาถึงทันเวลาพอดีเลยค่ะ เขากำลังประกาศว่า การแสดงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ให้รีบไปที่โรงแสดงช้างได้เลย เรารีบจ่ายตังค่าเข้า ผู้คนมากพอควร สักสองร้อยคนได้กระมัง ช่วงนี้เขามาทำบุญกันเป็นคณะๆแล้วแวะเที่ยว


ระหว่างที่รอๆคณะที่จองไว้ เขาก็พาน้องช้างออกมาทักทายคนดูไปพลางๆ ช้างเป็นสัตว์ที่น่ารัก คิดว่าคนส่วนใหญ่จะเอ็นดูช้างกันทั้งนั้น เพราะเขาจะมีทีท่าเนิบนาบสุภาพ

การแสดงช้างที่นี่ เขามีตั้งแต่กีฬาช้าง คือ ฮูลาฮูป ปาเป้า บาสเกตบอล ฟุตบอล แล้วยังมีกิจกรรมเข้าจังหวะ...อันนี้น่ารักมาก น้องช้างบางเชือก แดนซ์กระจายจริงๆ 

ช่วงเวลาชั่วโมงเศษๆ เรามีรอยยิ้ม ตลอดเวลาค่ะ

หลังจากแสดงเสร็จ เขาให้เราได้เล่นกับดาราทั้งหลายด้วยค่ะ ^_____^

แม่ช้างเลยได้มีโอกาสได้เล่นกับลูกช้าง 5555

ศูนย์คชศึกษา อ.ท่าตูมนี่ มีการแสดงช้างเป็นรอบๆนะคะ รอบเช้ารอบบ่าย ประมาณ สิบโมงเช้า กับบ่ายสอง ใครจะมาโทร.เช็คเวลาให้ชัวร์ก็ได้นะคะ แต่ถ้ามาไม่ทันรอบการแสดง เขาก็มีกิจกรรมนั่งช้างชมวิถีชาวบ้านที่มีชีวิตอยู่กับช้างด้วยค่ะ

ขับรถออกมาจากศูนย์คชศึกษา สองข้างทางเป็นนาข้าว เราก็จอดถ่ายรูปอีก

เวลาเราจอดถ่ายรูปกับนาข้าวทีรัย รถที่ผ่านไปมา เค้าชอบมองแบบงงๆ...ทำมัยอะ หึ  แปลกเหรอคะ

แล้วใครว่าอีสานแห้งแล้ง ดูสิ นาข้าวเขียวขจี  แถมวัวควายยังอ้วนพีทีเดียว เอ๊ะ...หรือกำลังท้อง




เราจะไปไหนต่อดีน๊อ...เหลือเวลาอีกสักพักก่อนค่ำ คิดกันสักพัก ก็ตกลงไปกระจายรายได้สู่ชุมชน คือ ไปกิ่งอ.เขวาสินรินทร์   เพราะต้องผ่านอยู่แล้วตอนกลับเข้าเมือง                    
ที่นี่เขาว่ามีทอผ้าไหม แล้วก็มีพวกเครื่องเงิน ไปแบบงงๆ คือไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน หาที่ทอผ้าไม่เจอ เจอแต่ร้านเครื่องเงิน ก็ได้กำไล ได้สร้อยกลับมากันคนละชิ้น สองชิ้น
แถวร้านเครื่องเงิน มีตลาดนัดพอดี ของกินเพียบ มีตั้งแต่ ของสด จำพวกเนื้อสัตว์ หมู ปลา ของแห้งต่างๆ ผักผลไม้ อาหารพวกไก่ย่าง หมูปิ้ง หรูด้วยนะ มีพวกเค้ก mini pizza ด้วย อะฮ้า...ทันสมัยอย่าบอกใคร  เรามองๆ แล้วขอกินโรตีอะ...ไม่ได้กินนานแล้ว อิอิ อ้วนนนนนน
                                                     
จากนั้น ก็มุ่งหน้ากลับตัวเมือง ขณะที่ตะวันชิงพลบ แล้วก็ฝากท้องกับร้านข้าวต้มร้านเดิมอีกแหละ