วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556

ไหว้พระ ๙ วัด รับปีใหม่...สองวัดสุดท้าย

จันทร์ที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๕...

วันนี้รีบตื่นแต่เช้าเลย ออกมานอกตึกก็เจอฟ้าสวยๆแบบนี้อยู่ตรงหน้าเลยค่า ^^ สงสัยเมื่อวานฝนตกหรืออย่างไร เช้านี้อากาศเย็นอะค่ะ ต้องควานหาเสื้อคลุมในรถใส่ทับเพิ่มเข้าไป แก้หนาว


รีบออกมายังจุดนัดลงเรือ เราจะไปกันลำนี้ล่ะค่ะ คนขับเรือเป็นผู้หญิงซะด้วย เขาเตรียมน้ำร้อนไว้ชงกาแฟไว้ให้เราด้วย ทั้งๆที่เราไม่ได้สั่ง ใจดีจริงๆ

ยิ่งพอออกเรือไป ลมแรง เลยได้เจอหน้าหนาวเมืองไทยแล้ว หนาวพอควร ลุกไปชงกาแฟกินให้อุ่น ชงมาแป๊บเดียว กลายเป็นกาแฟเย็น ๕๕๕๕ เจอทั้งอากาศ ทั้งลม
สักพัก..พระอาทิตย์ก็ขึ้นเต็มดวงค่ะ....งามจับตา ธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งสวยงามให้เราตลอดเวลา ดูตะวันเบิกฟ้า ลับฟ้ามาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ก็ยังเห็นสวยไม่เคยเบื่อเลย

เรานั่งเรือออกไปกันไกล นั่งคุยกับคนขับไปเรื่อยเปื่อย บึงบอระเพ็ดเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เนื้อที่กว่าแสนสามหมื่นไร่ค่ะ บางส่วนห้ามจับสัตว์น้ำโดยเด็ดขาด แต่บางส่วนสามารถจับสัตว์ได้ แต่เขาจะกำหนดประเภทของอุปกรณ์ที่ใช้จับไว้

ถามถึงจระเข้ เพราะเมื่อก่อนได้ยินว่ามีจระเข้ชุกชุม แต่ตอนนี้คงไม่มีแล้วกระมัง หรือถ้ามี ก็คงเหลือน้อยเต็มที
เรือแล่นแหวกเข้ามา เริ่มเห็นดอกบัวสีชมพูประปราย แล้วค่อยๆเริ่มหนาตาขึ้น คนเรือบอกว่า ช่วงนี้ดอกบัวยังบานไม่เต็มที่ ต้องประมาณเดือนหน้า แต่นกที่อพยพหนีหนาวนั้น เริ่มมาแล้ว น้องเขาก็เก่งนะ เขารู้ชื่อนก ชี้บอกเราได้ว่า นกอะไรบ้าง

เราก็เพลิดเพลินเจริญใจมาก พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ไม่หนาวละอากาศกำลังเย็นสบาย กรี๊ดกร๊าดดอกบัวสวยๆ


นกที่อยู่ระหว่างทาง บางทีเขาก็บินพรึ่บขึ้นมาเป็นฝูง บ้างก็อยู่ตัวเดียวโดดๆ บ้างก็อยู่คละกันไป บ้างก็เกาะเสาไว้ บ้างก็วิ่งอยู่บนใบบัว วิ่งปรู้ดๆ ถ่ายรูปไม่ทัน.. เข้าใจที่เพื่อนบอกล่ะ ว่าใช้กล้อง compact ไม่ได้ ชัตเตอร์มันช้าไม่ทันใจวัยรุ่นน่ะ เป็นงัย




ครั้งนี้ ไม่ได้พก G12 มาด้วย ติดมาแต่กล้องcompact ตัวเล็กๆ กับมือถือ อึดอัดใจมาก อยากถ่ายรูปนกสวยๆ วิวสวยๆ เกิดกิเลสอยากได้กล้องใหม่ขึ้นมาทันทีทันควัน ^^


แต่ก็บอกตัวเองว่า ให้ซื้อกล้องใหม่ ก็ใช่ว่าจะได้รูปสวยๆนะ ของแบบนี้อยู่ที่ฝีมือ ถือกล้องดีๆ แต่ถ่ายไม่เป็น รูปออกมา อายเขาตายเลย ๕๕๕๕  อีกอย่างนะ วัยปูนนี้แล้ว แบกกล้องแบกเลนส์ไหวหรือ ขนาดเอารถมา แค่ G12 ยังไม่ติดใส่รถมาด้วยเลย เพราะรู้ว่าเดี๋ยวก็ขี้เกียจถื พกแต่มือถือ อิอิ ใครจะไปรู้ว่า จะมาได้ชมดอกบัวสวยๆอะ >"<



จะบอกว่า ถึงดอกบัวจะยังออกไม่เต็มที่ แต่ก็...สวยอะ ชอบมากๆเลย ใกล้กรุงเทพด้วย แล้วจะกลับมาใหม่แน่ๆ




ได้แก่เวลาอันสมควร แดดเริ่มแรง ท้องเริ่มหิว คนเรือจึงวกเรือกลับ เราได้แต่เก็บความทรงจำดีๆ ความประทับใจกลับไปด้วย

กลับมาจนเกือบถึงฝั่ง จึงเห็นแพนี้ค่ะ เป็นแพที่ประทับของ....จำไม่ได้จริงๆ เหมือนคนเรือจะบอกว่า ในหลวงร.๗ เคยเสด็จมาประพาสและพักที่นี่ แต่หาข้อมูลในเน็ต บ้างก็ว่า ร.๕ บ้างก็ว่าสร้างโดย ร.๖ เลยขอเป็นว่า เคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ไทย เวลาเสด็จประพาสบึงบอระเพ็ด ก็แล้วกันนะคะ

จากสภาพที่เห็นคิดว่า หากไม่ได้รับการบำรุงรักษา อีกสักพักน่าจะพังอะค่ะ ส่วนตัวเห็นว่า น่าจะปรับปรุงทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ให้คนได้ขึ้นไปเที่ยว ได้เห็นถึงพระจริยาวัตรที่เรียบง่ายของพระมหากษัตริย์ไทย อาจจะทำแพคู่กันไว้ แล้วขายน้ำชากาแฟ ขายของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ ก่อนจะกลับขึ้นฝั่ง แต่ฟังๆดูคงจะยาก เนื่องจากมีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้องกับการดูแลจัดการพื้นที่บึงบอระเพ็ดนี่ บ้านเรานี่ อะไรที่ต้องประสานหลายหน่วยงาน มักจะติดขัดนั่นนี่โน่นตลอด...เฮ้อออ
ขึ้นจากเรือ เราก็หาข้าวใส่ท้องก่อน หิวจังค่ะ แล้วถึงกลับไปอาบน้ำ เช็คเอาท์
บ๊ายบายนครสวรรค์สักที ^^
๗. วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร อ.เมือง จ.สิงห์บุรี
เรามุ่งหน้ากลับกรุงเทพ พร้อมๆกับมองหาวัดเหมาะๆที่จะแวะ เพราะเรายังเหลืออีก ๒ วัดจึงจะครบ ๙ ตามที่ตั้งใจไว้ แล้วก็เห็นป้ายวัดพระนอนจักรสีห์ชวนให้แวะเข้าไป จำได้ว่าเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อสักสิบปีก่อน ครั้งนี้ลองแวะเข้าไป บริเวณที่จอดรถมีของขายมากมาย น่าจะพวกของกินและของ OTOP แต่เราไม่ได้เดินดู แล้วเห็นมีชาวบ้านมานั่งสวดมนต์เสียงดังฟังชัดกันอยู่ที่ซุ้มประตูทางเข้าวัด เราเลยเลียบๆเคียงๆเข้าไปทางข้างๆ ผ่านบริเวณที่เขามีให้ทำสังฆทาน (จำได้ ครั้งก่อนเรามาถวายสังฆทานด้วย) แต่พอเดินต่อไป..เห็นพระนอน ที่คนกำลังจุดธูปเทียนกราบไหว้กันอยู่ ป้าชักงง...ทำไมองค์เล็กจัง (>"<)'



อิอิ...ที่แท้องค์จำลองตะหาก องค์จริงอยู่ด้านในวิหาร แป่ว..!! นั่นล่ะ สมองปลาทอง สิบปีแล้วจะจำอะไรได้ เราก็จุดธูปเทียนบูชาปิดทองกันเรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปในวิหาร...ให้ได้พบว่า กำลังบูรณะอยู่

สันนิษฐานว่า วัดนี้สร้างสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ มีพุทธลักษณะแบบสุโขทัย ที่มีความงดงามมาก พระพักตร์หันไปทางทิศเหนือ พระเศียรหันไปทางทิศตะวันออก พระกรขวายื่นไปด้านหน้า ไม่งอพระกรขึ้นรับพระเศียรเหมือนแบบไทย มีความยาว ๔๗.๔๐ เมตร
"หลวงพ่อพระนอนจักรสีห์ " เป็นรูปของพระพุทธเจ้า ปางไสยาสน์เทศนาปาฏิหาริย์ แก่อสุรินทราหู ผู้เป็นยักษ์ เพื่อลดทิฎฐิของอสุรินทราหูที่ถือว่ามีร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์ พระพุทธเจ้าจึงเนรมิตร่างกายให้ใหญ่กว่ายักษ์ "หลวงพ่อพระนอน" จึงเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่และยาว

มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า สิงหพาหุ(ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร)มีพ่อเป็นสิงห์ พอรู้ความจริงคิดละอายเพื่อนว่าพ่อเป็นสัตว์เดรัจฉาน จึงฆ่าสิงห์ตาย ภายหลังรู้สึกตัวกลัวบาปและเสียใจเป็นอย่างมาก จึงสร้างพระพุทธรูป โดยเอาทองคำแท่งโต ๓ กำมือ ยาว ๑ เส้น เป็นแกนขององค์พระ เพื่อเป็นการไถ่บาป และพระพุทธรูปมีอยู่ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชามาหลายชั่วอายุคน จนกระทั่งองค์หลวงพ่อพระนอนได้พังทลายลงเป็นเนินดิน
กาลนานต่อมา ท้าวอู่ทอง ได้นำพ่อค้าเกวียนผ่านมาทางนี้ แล้วพบแกนทองคำฝังอยู่ในเนินดิน และทราบเรื่อง สิงหพาหุ ก็เกิดความเลื่อมใสและเห็นเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา จึงชักชวนพ่อค้าเกวียนก่อสร้างพระพุทธรูปนี้ขึ้น โดยใช้ทองแท่งทองคำที่พบนั้นเป็นแกนองค์พระ จนกระทั่งพ.ศ. ๒๒๙๗ และ พ.ศ. ๒๒๙๙ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้เสด็จมานมัสการและซ่อมแซมองค์พระพร้อมทั้งได้สร้างพระวิหาร พระอุโบสถ และเสนาสนะต่าง ๆ ขึ้นใหม่

รอบๆองค์พระนอนจักรสีห์ รายล้อมด้วยพระพุทธรูป และของโบราณต่างๆให้ชมค่ะ



๙. วัดพิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี
ออกจากวัดพระนอนจักรสีห์ มีป้ายบอกชื่อวัดอีกหลายวัด แต่เราเลือกมาวัดพิกุลทอง เพราะรู้สึกคุ้นหูมากกว่าวัดอื่น
วัดนี้เรียกกันทั่วไปว่า "วัดหลวงพ่อแพ" (พระเทพสิหบุราจารย์) ซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาวาส มีพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อแพ จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติและเครื่องอัฐบริขารของหลวงพ่อแพ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จากประวัติที่อ่าน หลวงพ่อแพท่านบวชตั้งแต่อายุ ๑๑ ปี จนมาสิ้นตอนอายุ ๙๔ ปี ท่านเป็นเจ้าอาวาสที่วัดนี้ ยาวนานถึง ๖๗ ปีทีเดียวเชียวนะ ท่านได้สรรค์สร้างถาวรวัตถุต่างๆ ที่สวยงาม และยิ่งใหญ่ มากมาย

นอกจากนั้น เท่าที่ได้อ่าน ท่านเป็นพระผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา ที่ชาวสิงห์บุรีและจังหวัดใกล้เคียงให้ความเคารพ เลื่อมใสศรัทธากันเป็นจำนวนมาก ตลอดชีวิตของหลวงพ่อได้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างอเนกอนันต์ ทั้งโรงพยาบาลและอื่นๆมากมาย

สำหรับที่วัดพิกุลทองนี้ มีพระพุทธรูปปางประทานพรใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือ พระสุวรรณมงคลมหามุนี หรือ หลวงพ่อใหญ่ ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๑ วา ๒ ศอก ๗ นิ้ว สูง ๒๑ วา ๑ คืบ ๓ นิ้ว ภายในเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ประดับด้วยโมเสดทองคำธรรมชาติชนิด ๒๔ เค



พระสังกัจจายน์องค์ใหญ่


พระพิฆเณศตั้งอยู่กลางสระน้ำ เปิดเพลงหรือบทสวดแบบแขกคลอสร้างบรรยากาศตลอด

วัดนี้บริเวณกว้างขวางมาก เดินจากจุดนั้นไปจุดนี้ได้สักพัก หมดแรง...(เริ่มหิวน่ะ อิอิ) ภารกิจก็เสร็จสมบูรณ์ กลับบ้านเราได้แล้ว

มองย้อนกลับไปองค์พระใหญ่เชียว ให้นึกถึงพระองค์ใหญ่ที่วัดม่วง จ.อ่างทองที่เราอยากไปน่ะ ลักษณะคล้ายๆกันเลย มองเห็นองค์พระสง่างามอยู่กลางทุ่งนา

เราแวะจุดสุดท้ายก่อนเข้ากรุงเทพ ที่ร้านทองชุบ จ.สิงห์บุรี เป็นการปิดท้ายการเดินทางครั้งนี้ให้สมบูรณ์พูนสุข...อิ่มท้อง จนขี้เกียจขับรถ ^____^


สรุป..เป็นอันว่า เราได้ไหว้พระครบ ๙ วัด จาก ๓ จังหวัด เป็นพระนอนเสีย ๓ องค์ ถือเป็นการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ที่ดี ถึงแม้วันนี้จะผ่านมาหลายเดือนแล้ว ก็ขอแบ่งบุญให้เพื่อนๆทุกคนที่ได้เข้ามาร่วมปันประสบการณ์ด้วยนะคะ


มีเพื่อนถามว่า..ทำไมไปไหว้พระนอนหลายองค์ ก็ไม่รู้เหมือนกัน เราแวะไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้กำหนดว่าจะไหว้พระองค์ไหนบ้าง แต่...ทำไมต้องสงสัย พระนอนแล้วจะทำไม ท่านจะนอน จะนั่ง จะยืน จะเดิน ก็พระพุทธรูปให้เรากราบไหว้ได้เหมือนกันแหละ สงสัยเพื่อนจะมองว่าเป็นบังอรเอาตะนอน เลยไปไหว้พระนอนละมัง อิอิ
ที่จริง ได้ไปกราบพระนอนก็ดีนะ เอาเคล็ดว่า ปีนี้จะได้...นอนมา...๕๕๕๕

( ขอบคุณข้อมูลจาก www.dhammathai.org )

วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556

ไหว้พระ ๙ วัด รับปีใหม่...วัดที่ ๔..๕..๖..๗..

เช้าวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ ที่นครสวรรค์ฟ้าใสมากมาย (แปลว่าแดดจัดมากๆๆๆน่ะค่ะ)

ทานอาหารเช้าตอนสายๆเสร็จแล้ว เราออกไปบึงบอระเพ็ดกันก่อน เพราะในหนังสือนำเที่ยวเมืองนครสวรรค์ที่อ่านเมื่อคืน บอกว่ามีบึงบัวให้ดูด้วย ไหนๆ ไม่ได้ไปดูทะเลบัวแดงที่อุดร เรามาดูดอกบัวกันที่นครสวรรค์แทนละกัน 

ไปถึง...ขับรถผ่าน อาคารแสุดงพันธ์สัตว์น้ำบึงบอะเพ็ดเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษาไปก่อน จนเกือบถึงส่วนที่เป็นโรงแรมที่พัก มีที่ให้ติดต่อลงเรือไปชมบึง แต่พอจอดรถลงไปแล้ว หมุนๆมองหาคนอยู่พักนึง ถึงได้เจอ

คุยกัน เขาว่าเรามาสายไปแล้ว ถ้าอยากจะไปดูดอกบัว ควรจะมาเช้ากว่านี้ สัก ๗-๘ โมงเช้า รับรองว่าดอกบัวสวย แถมมีนกที่อพยพจากเมืองหนาวมาให้ดูด้วย เขามีรอบเล็กรอบใหญ่ให้ตัดสินใจเลือกนะคะ แล้วถ้าอยากจะสั่งอาหารไปทานบนเรือ ก็สั่งล่วงหน้าได้ด้วย เรือเป็นเรือใหญ่ค่ะ นั่งได้สัก ๑๐ คนละมัง มีโต๊ะกลางเรือ แล้วมีเก้าอี้ยาวสองฝั่ง ดูมั่นคงกว่าเรือหางยาวที่ป้าเคยนั่งชมนกชมบัวที่ทะเลน้อย ควนขนุน พัทลุง ตั้งเยอะ

เอางัยดีหว่า ถ้าจะดูบัว ก็ไม่ต้องไปแล้วพิจิตร อิอิ...อุตส่าห์หาข้อมูลมาซะดิบดี ไม่ไปซะงั้น แต่อย่างว่าแหละ ทัวร์ป้าตุ่ม เราพร้อมจะเปลี่ยนใจตลอดเวลา... เมื่อจะออกไปชมบึงแต่เช้า เราก็ควรจะนอนแถวนี้ เลยขับไปดูโรงแรมที่อยู่ข้างๆ ที่ดำเนินการโดยอบต. ห้องพักสบายใช้ได้ ราคาไม่แพง ก็เลยจองห้องสำหรับคืนนี้เสียเลย เช้าจะได้ไม่ต้องรีบร้อน พอได้ห้องพักเรียบร้อยก็คุยเรื่องสถานที่เที่ยว น้องควรทำการบ้านมากกว่านี้นะคะ ถ้าจะทำงานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว แต่อย่างน้อย..น้องก็เอาแผนที่ให้เรา และบอกให้เราแวะดูต้นแม่น้ำเจ้าพระยา ทางผ่านก่อนกลับเข้าตัวเมือง

ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา 

สมัยเป็นเด็ก ท่องหนังสือมาว่า แม่น้ำเจ้าพระยามีต้นกำเนิดจาก แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม และ แม่น้ำน่าน ไหลมารวมกันที่ “ปากน้ำโพ” จังหวัดนครสวรรค์ 
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว แม่น้ำปิง กับแม่น้ำวัง ไหลมาบรรจบกันที่บริเวณ อ.บ้านตาก จ.ตาก  เป็นหนึ่งสาย  และ แม่น้ำยม กับแม่น้ำน่าน ไหลมาบรรจบกันที่ วัดเกยไชย อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ เป็นอีกหนึ่งสาย แล้วแม่น้ำทั้งสองสายจึงค่อยมารวมกันอีกทีที่ปากน้ำโพ(หรือ..ปากน้ำโผล่) แล้วรวมเป็นหนึ่งเดียวของต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยาตะหาก ^^


ที่บริเวณต้นน้ำนี้จะมองเห็นถึงความแตกต่างของแม่น้ำทั้งสองสายได้อย่างชัดเจนโดยแม่น้ำน่านจะมีสีแดงขุ่น แม่น้ำปิงจะมีสีเขียวคล้ำใสเมื่อรวมตัวเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา สีน้ำจะค่อยๆ ผสมกลมกลืนเป็นสีเดียวกัน ในรูปนี้ไม่ค่อยชัดนะคะ แต่แม่น้ำสายที่อยู่ข้างบนนั่น เข้าใจว่าแม่น้ำปิงค่ะ ส่วนสายที่มาจากทางขวาล่างนั่น แม่น้ำน่าน

เราไปดูต้นน้ำนี้ที่ศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์-เจ้าแม่ทับทิม ศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดนครสวรรค์ ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าสร้างมาแต่สมัยใด ทราบแต่เป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านมากว่า ๑๐๐ ปี และมีบันทึกว่า ผู้มีจิตศรัทธาได้นำระฆังเนื้อสัมฤทธิ์ผสมเงินจารึกด้วยภาษาจีนมาถวาย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๓ 

ศาลเจ้านี้เป็นอาคารทรงเก๋งจีน หลังคาประดับด้วยมังกรคู่ชูลูกแก้ว ปลายสันหลังคาที่ทอดยาวลงมา สร้างเป็นหัวมังกรหงาย ภายในศาลประดิษฐานเทพปิ่นโถ่วกงอยู่ตรงกลาง เทพกวนอูอยู่ด้านขวา เจ้าแม่ทับทิมอยู่ด้านซ้าย 


เข้าไปสักการะเทพเจ้าแล้ว โดยมีคุณลุงคอยกำกับลำดับการสักการะ และคุณป้าคอยกำกับวิธีการจุดตะเกียงน้ำมัน (ป้าตุ่มใส่เสื้อสีเข้ากั๊นเข้ากันกะศาลเจ้า)

ก่อนไปเราก็ปล่อยเต่ากันก่อน(จะได้ไม่..ปล่อยไก่..เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย) พ่อค้าสอนวิธีจับเต่า แล้วบอกให้โยนไปไกลๆ 
แหะ แหะ...กลัวเต่ากัด ^^ (กะแอบกลัวพลัดตกแม่น้ำ...ก็ไม่มีลูกกรงกั้นนี่ นึกถึงการ์ตูน แบบโยนของไปแล้วตัวไถลลื่นตกลงไปด้วย)

ไปดีเถอะนะ เต่าน้อย...


๔. วัดนครสวรรค์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์

วัดนครสวรรค์ เดิมชื่อว่า วัดหัวเมือง เพราะสมัยโบราณก่อนจะเข้าถึงตัวเมือง ต้องผ่านวัดนี้ก่อน สร้างขึ้นราว พศ. ๑๙๗๒ ทางราชการได้เคยใช้สถานที่วัดนี้ประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา (มีศิลาจารึกเป็นหลักฐาน) เป็นที่พำนักอยู่จำพรรษาของเจ้าคณะจังหวัด เป็นสถานที่ใช้สอบธรรมและบาลีสนามหลวงตลอดมา นับว่าเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณ

พระประธานในพระอุโบสถ ขนาดพระเพลากว้าง ๒.๕๐ เมตร สร้างด้วยทองเหลือง มีพระนามเรียกกันว่า “หลวงพ่อศรีสวรรค์” เล่ากันว่าขณะที่เททองอยู่นั้น ตอนเย็นใกล้ค่ำ มีลำแสงพุ่งออกจากองค์พระเป็นแสงต่างกันถึง ๖ สี เรียกว่าฉัพพรรณรังสี เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง (@O@)

เท่าที่สังเกตดู หลวงพ่อศรีสวรรค์คงจะเป็นที่ศรัทธาของชาวเมืองมาก เพราะเห็นมีคนมากราบไหว้กันเยอะ รวมทั้งมีของมาเซ่นไหว้ในลักษณะแก้บนด้วย 



พระสองพี่น้อง หรือ พระผู้ให้อภัย เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๒ องค์ นั่งหันหลังให้กัน คาดว่าสร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา ด้วยพิจารณาจากรูปทรงของพระพุทธรูป และอิฐที่ใช้สร้าง

แต่สาเหตุที่สร้างพระพุทธรูปหันหลังให้กันนั้น ไม่มีระบุไว้แน่ชัดที่ไหน จึงมีการบอกเล่ากันต่อๆมาหลายเรื่อง เช่น เรื่องทางธรรมว่ามีความหมายถึงการเกิดและการตาย บางเรื่องก็เป็นเรื่องทางโลกว่า เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะเข้าพิธีแต่งงาน แห่ขันหมากกันมาแล้วเกิดวิวาทอย่างไม่มีวันคืนดีให้กัน หลังจากนั้นจึงมีการสร้างพระเป็นอนุสรณ์ (ส่วนของคุณชายธราธร ตกลงกันไม่ได้ มีแต่คนแฮปปี้นะคะ...อิอิ) ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง มีคนเล่าว่า พม่าเป็นผู้สร้าง เมื่อยกทัพมาถึงเมืองนี้ เมื่อสงครามยุติ ก็สร้างเป็นอนุสรณ์ ที่หันหลังให้กันนั้น อาจมีความหมายว่า เป็นการให้อภัยไม่ต้องจองเวรจองกรรมกันอีกต่อไป ชาวบ้านถึงเรียก "พระผู้ให้อภัย"

สำหรับป้า ฟังดูไม่เห็นเข้าเค้าสักเรื่อง แต่ที่แน่ๆคือ ไม่เคยเห็นมีการสร้างพระพุทธรูปหันหลังให้กันที่ไหนมาก่อนเลย

ก่อนจะออกจากวัด ตรงที่จอดรถมีคนพิการนั่งขายล็อตเตอรีคุยกันอยู่ ๒ คน (โดยปกติป้าตุ่มไม่ค่อยได้ซื้อหรอก) ก็ลองเลือกดูหน่อย เลือกได้ก็หยิบ กลายเป็นไปหยิบแผงของคนที่ไม่ได้พิการ แป่ว !!! หน้าแตกเล้ย ๕๕๕๕ แต่เมื่อตั้งใจแล้ว เลยต้องหันไปซื้อจากอีกแผงนึงเพิ่ม (ไม่ถูกอีกตะหาก >"<)

ออกจากวัดมาก็ใกล้เที่ยง เลยขับรถไปร้านอาหารดั้งเดิมของเมืองนครสวรรค์ สมัยเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ที่เริ่มออกทำงานภูมิภาคใหม่ๆ ตัวแทนที่นครสวรรค์บอกว่า เมืองนี้ไม่ค่อยมีร้านอาหารรับของแขก ร้านนี้เป็น ๑ในไม่กี่ร้าน เมนูเด็ด คือ ทอดมันค่ะ ขนาดเวลาพูดว่านัดร้านไหน ก็จะบอกว่า "หน้าผา ปลาทอดมัน" เมนูอื่นๆที่จำได้ว่าอร่อยคือ เชิงปลากรายทอดกระเทียม ลูกชิ้นปลากราย กับอาหารปลาๆทั้งหลาย ครั้งนี้เรามากันสองคน ชิมได้ไม่กี่อย่าง ทอดมันยังอร่อยเหมือนเดิม แต่ทำไมต้มยำเปรี้ยวววววซะเหลือเกินก็ไม่รู้ ;)

อิ่มออกมา ป้าตุ่มก็ขับรถไปดูร้านน้ำพริกเผาเจ้าเก่า สมัยก่อนต้องแวะซื้อกลับเป็นของฝาก ร้านอยู่ริมถนนโกสีย์ เหมือนร้านหน้าผาแหละค่ะ ไปถึงเกือบจำไม่ได้ เมื่อก่อนเป็นเพิงหน้าบ้านเล็กๆ เดี๋ยวนี้ปรับปรุงเป็นร้าน มีหน้าร้านอย่างดี ทำ packaging ในกระปุกจัดเป็นเซ็ทอย่างดี มี facebook ด้วย ป้าชอบน้ำพริกกุ้งมะขามเปียก กับ น้ำพริกเผาค่ะ อร่อย...ออกดีใจที่เห็นการพัฒนาของธุรกิจครอบครัวเล็กๆก้าวหน้าตามสมัยได้แบบนี้ อ้อ เขาชื่อ "น้ำพริกสามพี่น้อง"ค่ะ

๕. วัดจอมคีรีนาคพรต อ.เมือง จ.นครสวรค์

ที่จริงนครสวรรค์มีวัดเยอะมาก แต่เราดูแผนที่แล้วงงๆ เลยเลือกมาวัดนี้ เพราะเห็นป้ายวัดชัดเจนบนถนนพหลโยธิน ก่อนข้ามสะพานเดชา(ถ้ามาจากกรุงเทพอะนะ) วัดนี้มีชื่อหลายชื่อมากเลยค่ะ ตามเรื่องราวต่างๆกันไป
- วัดลั่นทม เพราะมีต้นลั่นทมเต็มไปหมด แต่ตอนที่เราไป ลั่นทมมีแต่กิ่ง ใบร่วงหมด ^^

- วัดเขา หรือ วัดเขานครสวรรค์ เพราะสมัยโบราณในนครสวรรค์ มีวัดนี้เพียงวัดเดียวที่สร้างอยู่บนเขา
- วัดเขาบวชนาค เพราะสมัยก่อนวัดนี้เพียงวัดเดียวที่มีพระอุโบสถถูกต้องตามพระวินัยให้บวชนาคได้
- วัดจอมคีรีนาคพรต ก็เพราะเชื่อว่า วัดนี้มีพญานาคซึ่งเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่มาบำเพ็ญพรต(รักษาศีล)และอารักขา  แม้ในซุ้มเรือนแก้วของอุโบสถก็มีรูปนาค ๓ เศียรทั้งสองข้าง

เราจอดรถไว้ที่เชิงเขา แล้วเดินขึ้นบันไดมา !!! ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะขึ้นถึง เหนื่อยยย แฮ่กๆ 
พอขึ้นมาถึงพบว่า บริเวณวัดเงียบมากกก...มีแต่เศษใบไม้ร่วงปลิวตามลมเกลื่อน คงเป็นเพราะหน้าแล้งด้วยล่ะ จึงดูแห้งแล้งมาก ระหว่างที่อยู่ในวัด เจอพระแค่รูปเดียวนั่งอ่านตำราอยู่ กับคนมาเที่ยวแค่ ๒ คู่ แต่บนนี้วิวสวยค่ะ มองกลับไปในเมืองชัดเจนดี

สิ่งที่สะดุดตาที่สุด คือ พระอุโบสถ ที่ปิดป้ายไว้ว่า"โบสถ์เทวดาสร้าง"
เขามีตำนานว่า  เมื่อชาวบ้านเริ่มสร้างอุโบสถ ได้ติดตั้งเสาพร้อมเครื่องบนให้เป็นรูปโครงของอุโบสถ ตกกลางคืนก็ได้ยินเสียงมโหรีปี่พาทย์ มีเสียงอึกทึกครึมโครมและแสงสว่าง ซึ่งสว่างไปทั่วบริเวณยอดเขา ชาวบ้านต่างพากันแปลกใจจึงปลุกกันลุกขึ้น ทุกคนได้ยินเสียงนั้นเหมือนกัน ด้วยความสงสัยจึงพากันไปดูก็ปรากฏแก่ตาว่า งานที่ทำค้างไว้นั้นสำเร็จหมดและไม่ปรากฏว่ามีใครเข้าไปทำเลยแม้แต่คนเดียว คือไม่พบมนุษย์ผู้ใดในที่นั้นเลย จึงเป็นที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์มาก พวกชาวบ้านจึงหยุดการก่อสร้างไว้เพียงเท่านั้น  เพราะเห็นว่าเทวดาลงมาสร้างไว้สำเร็จแล้ว (@o@)

โบสถ์นี้มีลักษณะเป็นรูปศาลาโถง ไม่มีผนังทั้งสี่ด้าน ทรงแบบโบราณ เครื่องบนเป็นไม้สักล้วน มุงกระเบื้อง มีลักษณะแปลกตาคือ มีชายคาที่ต่ำกว่าโบสถ์ทั่วไป เป็นการบังคับกลายๆ ว่า เมื่อจะเข้าไปกราบพระประธานภายใน ต้องก้มหัวคืออ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไปเท่านั้น ถ้าไม่ก้มจะได้รับอันตรายคือศีรษะจะชนชายคาโบสถ์ เป็นปริศนาธรรมว่า เมื่อจะเข้าไปในสถานที่ใด ๆ ให้อ่อนน้อมถ่อมตนเข้าไป  ถ้าไม่ถ่อมตน  จะได้รับอุปสรรคหรืออันตรายจากที่นั้น ๆ

และก็ปราศจากประตู หน้าต่าง และฝาผนัง (ลูกกรงเหล็กเพิ่งจะสร้างทีหลังเพื่อกันขโมย) ความจริงแม้โบสถ์หลังนี้จะมีขนาดเล็ก  แต่เมื่อเป็นโบสถ์โล่งโถงไม่มีฝาผนัง  จึงเป็นโบสถ์ที่บรรจุหรือรองรับคนได้ไม่จำกัด  เพราะความจุของโบสถ์หลังหนึ่งๆ จะถูกจำกัดด้วยฝาผนัง แต่โบสถ์หลังนี้ไม่มีฝาผนัง  ดังนั้นความจุจึงไม่ถูกจำกัด  นี่คือคำเฉลยปริศนาของคนโบราณที่ว่า โบสถ์เทวดาสร้าง จุคนได้ไม่เคยเต็ม คติการสร้างโบสถ์แบบนี้ เป็นการสร้างแบบชาวพุทธโบราณในยุคทวาราวดีและสุโขทัย

พระศรีสรรเพชญ์ พระประธานในซุ้มเรือนแก้ว เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยทวาราวดี (ขอมโบราณ) อายุประมาณพันปีเศษ พระพักตร์ทำนองพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน สถิตในซุ้มเรือนแก้วมีหัวนาค ๓ เศียร เป็นศิลปะแบบขอม 

ด้านหลังพระประธาน มี พระพุทธธัญดร พระปางลีลาในซุ้มเรือนแก้ว เป็นศิลปะทวาราวดี เพราะว่ายกพระหัตถ์คือมือข้างขวาขึ้นมาที่อุระ(อก)  ถ้าเป็นศิลปะสุโขทัยจะยกมือซ้าย (เออ..เนอะ ปกติเราไม่เคยสังเกตเลยว่าพระปางลีลายกหัตถ์ข้างไหน ตอนนี้เลยสงสัยว่าพระที่พุทธมณฑลยกหัตถ์ด้านไหนกัน..)
พระปางลีลาที่มีลักษณะอย่างนี้ อยู่ในโบสถ์หลังพระประธานเช่นนี้ มีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย  (Unseen  Thailand)

ที่จริงวัดนี้ โบสถ์หรือวิหาร ก่อสร้างไว้สวยๆ แต่ดูเหมือนไม่ได้รับการทำนุบำรุง ทำให้ดูไม่ค่อยงามตาเท่าที่ควร ยกเว้นตรงโบสถ์เทวดาสร้าง ที่เราเข้าไปนั่งอยู่ข้างในแล้วชอบ



พระพุทธบาท ๔ รอย ตอนแรกที่เห็นป้าย ไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างไร จนกระทั่งเข้ามายืนดู..สักอึดใจ จึงเข้าใจว่า หมายถึงซ้อนกันลึกลงไป ๔ ชั้นนี่เอง


๖. วัดวรนาถบรรพต อ.เมือง จ.นครสวรรค์

ตั้งอยู่เชิงเขากบ จึงมักเรียกว่า วัดเขากบ เป็นวัดดั้งเดิมแต่สมัยสุโขทัย ซึ่งนอกจากจะมีศิลาจารึกกล่าวถึงพญาธรรมิกราช คือพระเจ้าลิไทแห่งกรุงสุโขทัยได้นำเอารอยพระพุทธบาทจำลองที่ได้มาจากลังกาทวีป มาประดิษฐานไว้บนยอดเขาปากพระบาง คือยอดเขากบแล้ว ยังมีปูชนียวัตถุสมัยนั้นอีก เช่น เจดีย์ใหญ่ทรงระฆังครอบ 

และ..พระพุทธไสยาสน์ยาวประมาณ ๑๐ วาเศษ


ในวิหารมีรูปหล่อหลวงพ่อทอง ที่เคารพนับถือของชาวนครสวรรค์อย่างมาก

ตอนเรามาถึง เห็นโบสถ์ปิดประตูอยู่ แต่พอจะกลับ เห็นเณรท่านขึ้นไปกวาดลานโบสถ์ และเปิดประตูโบสถ์ไว้ จึงรีบขึ้นไปด้วยความที่อยากเห็นภายใน พอเข้าไปแล้ว ออกจะ...แปลกใจ โบสถ์ด้านนอกดูงามวิจิตร แต่ภายในเรียบมาก และความที่ไม่มีคน รู้สึกนิ่งมากๆ


ที่วัดนี้ เห็นมีเณรเยอะมากทีเดียว เห็นวิ่งบ้างเดินบ้างไปกวาดลานวัด คุยกันหัวเราะกันเสียงดังเชียว น่ารักมาก ส่วนด้านหน้า เห็นมีเด็กนักเรียนซ้อมกีฬากันอยู่ ให้นึกถึงที่ว่ามาถึงสมัยนี้ วัดก็ยังเป็นศูนย์รวมของชุมชน เป็นแหล่งดำเนินกิจกรรมสังคมต่างๆ

นอกจากบริเวณเชิงเขาแล้ว วัดเขากบยังมีรอยพระพุทธบาทจำลอง อยู่บนยอดเขากบอีกด้วย แต่ครั้งนี้ไม่ได้ขับรถขึ้นไปดู เขาว่าขึ้นไปแล้วจะเห็นวิวเมืองนครสวรรค์ชัดเจน ซึ่งเราไม่ได้ขึ้นไปดูหรอก กะว่าจะไปดูวิวเมืองจากอีกทีหนึ่งมากกว่า 

ที่นี่ค่ะ...หอชมเมือง...นครสวรรค์ก็มีหอชมเมืองนะคะ ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ที่บรรหารบุรี 

หอชมเมืองตั้งอยู่บนยอดเขาดาวดึงส์ค่ะ สร้างเสร็จเมื่อปี ๒๕๕๑ สูง ๓๒ เมตร ประมาณตึก ๑๐ ชั้นได้ค่ะ ที่ชั้นล่าง เป็นประชาสัมพันธ์ ชั้น ๒ เป็นร้านกาแฟ มีของ otop ขายเล็กน้อย แล้วก็ให้ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุด เป็นห้องกระจกรอบทิศ ติดแอร์เย็นสบาย จากตรงนี้มองเห็นวิวเมืองนครสวรรค์ชัดเจน เราไปกันตอนบ่ายเกือบเย็น วิวด้านทิศตะวันออก ที่เป็นวัดคีรีวงศ์สวยทีเดียว ใครผ่านมา น่าแวะขึ้นไปค่ะ ค่าเข้าชมไม่กี่บาทเอง(แต่จำไม่ได้ว่ากี่บาท ^^)

๗. วัดคีรีวงศ์ อ.เมือง จ.นครสวรรค์

ตามเคยค่ะ วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่ปลายสมัยสุโขทัย แล้วรกร้างเสื่อมโทรม มาจนกระทั่งปี ๒๕๐๔ มีพระธุดงค์มาพบเข้า จึงแจ้งต่อกรมศาสนาเข้ามาบูรณะ และชักชวนประชาชนสร้างกุฏิเล็กๆที่เชิงเขา เขาเล่าว่า แรกๆพระธุดงค์ที่มาเริ่มสร้างวัดถูกต่อต้านจากชาวบ้านที่ครอบครองที่แถวนั้นอยู่ แต่ภายหลังเมื่อกรมการศาสนาเข้ามาพัฒนา จัดตั้งเป็นศูนย์เผยแผ่พระพุทธศาสนา ปัจจุบันก็กลายเป็นวัดที่คนนิยมมาปฏิบัติธรรมกันอย่างมาก 

ที่วัดนี้มีองค์พระเจดีย์ทองเหลืองขนาดใหญ่สวยงามมาก ชื่อ"พระจุฬามณีเจดีย์" ท่านเจ้าอาวาสหลวงพ่อมหาบุญรอดได้ริเริ่มสร้างเมื่อปี ๒๕๒๔ มาเสร็จเรียบร้อยเอาเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง 

ด้านฐานเจดีย์มีทั้งหมด ๔ ชั้น
ชั้นที่ ๒ เต็มไปด้วยรูปหล่อขนาดเท่าองค์จริงของพระชื่อดังทั้งหลายของเมืองไทย สำหรับให้ประชาชนสักการะบูชา
ชั้นที่ ๓ ประดิษฐานพระพุทธรูปจำลองที่สำคัญต่างๆ เช่น พระแก้วมรกต พระพุทธชินราช พระพุทธโสธร เป็นต้น เรียกว่า มาที่นี่ที่เดียว ได้กราบพระทุกองค์เลยค่า
ชั้นที่ ๔ ประดิษฐานพระสารีริกธาตุ และโดมเจดีย์วาดภาพพุทธประวัติไว้สวยงาม


ที่ชั้น ๔ นี้ สามารถเดินออกมาชมวิวได้ด้วย วิวสวย ลมเย็นดีเหลือเกิน


หลวงพ่อเวียงจันทร์....จำได้ว่า คุณลุงที่นั่งเฝ้าบันไดในพระเจดีย์ ย้ำให้มากราบท่านเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้ นึกไม่ออกว่าเรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร สงสัยต้องกลับไปถามใหม่ ๕๕๕๕

เราอยู่จนถึงเวลาที่เขาจะปิดพระเจดีย์แล้ว จึงได้ลงจากเขา เข้าตัวเมืองกัน เราจะแวะไปอุทยานสวรรค์สักหน่อย...แล้วก็ ได้แวะหน่อยเดียวจริงๆ :)
ตั้งใจจะเดินเล่นออกกำลังสักหน่อย เพราะอากาศกำลังเย็นลมพัดแรงเชียว แต่พอจอดรถ เดินเข้าไป เจอมังกร ถ่ายรูปได้ ๒ รูปแค่นั้น

แล้ว..ฝนก็ตกลงมา โชคดีว่าอยู่ใกล้ศาลาเลยมีที่ให้หลบฝน ฝนตกอยู่พักนึง พอหยุด เราก็เลยออกไปหาข้าวต้มใส่ท้องก่อนกลับโรงแรมที่ริมบึงบอระเพ็ด 


นี่ไงคะ..ห้องพัก สบายจังค่า ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีน๊า ^^ พรุ่งนี้เราจะตื่นกันแต่เช้า ไปดูดอกบัวกัน


(ขอบคุณข้อมูลจาก www.paitaew.com , WWW.INTARAM.ORG , www.moohin.com)