วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สระแก้ว...ไม่ได้มีแต่ตลาดโรงเกลือ !!! ตอน 2.2

จากอ่างเก็บน้ำพระปรง เราก็ตรงไปที่ "ละลุ" ตลอดทางมีป้ายบอกไปตลอด แต่..ป้าก็ขับเลยจนได้ ^^ เพราะป้ายตรงทางเลี้ยวเล็กไปหน่อย ถนนดีนะ ดีตลอดเลย เข้าไปจนจะถึงแล้วก็ยังงงกับป้ายทางเข้าอีกนั่นแหละ สุดท้ายเราก็เจอป้ายบอกที่จอดรถสำหรับคนที่มาเที่ยวละลุ พอจอดรถ ก็มีน้องนักเรียน 2 สาวน้อย ออกมาต้อนรับ อธิบายว่า ห้ามนำรถเข้าไป เราต้องนั่งรถอีแต๊กเข้าไป ค่ารถ 200 บาท และพี่ (พี่...อิอิ) ควรจะเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อน เพราะที่นั่นไม่มีห้องน้ำเข้า น่ารักจริง (ห้องน้ำสะอาดดีจัง)

นั่งรถอีแต๊กผ่านหมู่บ้าน ผ่านทุ่งนา สักพัก ก็ได้เจอแล้ว "ละลุ แดนมหัศจรรย์"  หน้าตาทำนองเดียวกับแพะเมืองผี ที่จ.แพร่ ที่ขนาดเล็กกว่า แต่มีพื้นที่กว้างขวางกว่า ประมาณ 2500 ไร่ทีเดียว น้องบอกว่า มีละลุ 1, 2, 3 แต่วันนี้เราได้เที่ยวแค่ละลุ 1



ละลุ เป็นภาษาเขมร แปลว่า ทะลุ ก็หมายความถึงฝนได้กัดเซาะดินพัง ทรุดตัวลง ส่วนที่แข็งเกาะตัวอยู่ได้ เกิดเป็นเสาดิน กำแพง รูปแบบต่างๆแปลกตา


การจัดการที่นี่ ก็คล้ายๆตอนไปสามพันโบก มีเด็กๆมาคอยอธิบายให้ความรู้นักท่องเที่ยว ซึ่งจากการคุย น้องๆก็ทำการบ้านมาดีในระดับหนึ่ง แถมยังเป็นตากล้องที่ใช้ได้อีก

ในวันเวลาที่ผ่านไป ละลุจะค่อยๆถูกกัดเซาะเปลี่ยนรูปร่างไป อย่างรูปข้างล่าง รูปบนขวา เคยเป็นช่องรูปหัวใจให้อยากถ่ายรูปเป็นนางในดวงใจ ^^ ตอนนี้ น้ำเซาะจนขอบหัวใจแหว่งไปแล้ว น่าเสียดายจริงๆ




สำหรับนักถ่ายรูปคงชื่นชอบที่นี่ เพราะมีมุมต่างๆให้ถ่ายรูปมากมาย ขนาดตากล้องสมัครเล่นอย่างเรา ยังใช้เวลาอยู่ที่นี่เป็นชั่วโมงเหมือนกัน (ที่จริง พวกเราใช้เวลานานทุกแห่งแหละ ^^ ไม่ติดว่าจะต้องไปต่อ ก็วนไปวนมากันอยู่นั่นแล้ว)
ถ่ายรูปกันพอสมควรแก่เวลา ก็นั่งรถอีแต๊กกลับ ระหว่างทางคนขับใจดี พาแวะไปดูนกอีก




ออกจากละลุ เราก็มุ่งหน้าไปจุดหมายสุดท้าย "ปราสาทสด๊กก๊อกธม" ซึ่งเป็นทางผ่านจากละลุเข้าอรัญประเทศ ตั้งใจมาที่นี่ เพราะเคยได้ยินชื่อมานาน คุ้นหู ไม่รู้จะตั้งแต่สมัยอบรมมัคคุเทศก์กับท่านอาจารย์หม่อมรึเปล่า (มรว.สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์...สมัยนั้น นั่งเรียนอย่างเพลิดเพลินเจริญใจมาก เพมือนไปนั่งฟังท่านเล่านิทาน แต่..เพื่อนๆหลายคนสัปหงก ซะงั้น)

ทางเข้าปราสาทลึกจากถนนเข้าไปพอควร แต่ก็มีป้ายบอกตลอดทาง ยิ่งช่วงแรกๆ ป้ายถี่มาก ^^ พอลึกเข้าไประยะห่างเริ่มเพิ่มมากขึ้น แล้วยังเจอจ้าวถนนผ่านมา ต้องจอดรอให้ท่านผ่านไปก่อน (ความรู้สึกเหมือนขับรถในนิวซีแลนด์ แล้วต้องหยุดให้แกะข้ามถนนยังงัยยังงั้นเลย)


พอไปถึงจะต้องเดินตามถนนเข้าไป ซึ่งปราสาทอยู่ในดงไม้ใหญ่ มองไม่เห็นจากลานจอดรถ


ปราสาทสด๊กก๊อกธม ชื่อนี้แปลว่า เมืองที่มีต้นกกขึ้นรกในหนองน้ำใหญ่ เป็นปราสาทหินทรายที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก อยู่ในต.ตาพระยา ที่เคยเป็นสมรภูมิระหว่างไทยกับเวียดนาม ซึ่งตอนนี้ได้รับการบูรณะเก็บกู้ระเบิดหมดแล้ว (แต่งัยๆก้อ อย่าเดินออกไปเล่นในป่าก็แล้วกัน ^^) ซึ่งกรมศิลป์ได้บูรณะช่วงปี 2547-2550 


เดินชมปราสาท แล้วพยายามฟื้นความรู้ว่าศิลปะสมัยไหนหวา จำได้แต่ว่า นาคหัวโล้นๆแบบนี้ เป็นยุคเก่าอะ จะสมัยบาปวนหรือเปล่าน๊อ เสียดายความรู้ที่เคยได้เรียนมา มันหายไปกับกาลเวลาซะแล้ว  (-0-)  กลับมาเปิดเน็ตดู ถึงได้รู้ว่าที่นี่เป็นศิลปะยุคคลังต่อเนื่องกับบาปวน 




คนมาเที่ยวที่นี่ ไม่มาก หรือจะเป็นเพราะเรามาตอนเกือบเย็นแล้วก็ได้ ก่อนกลับได้พบเจ้าหน้าที่ เขาเอาสมุดเยี่ยมมาให้เราลงนาม ถามว่าเป็นข้าราชการมั้ย..ไม่ค่ะ เป็นอาจารย์เหรอ..ม่ายค่ะ แล้วเป็นอะไร..เป็นคน ??  
อิอิ ไม่ได้ตอบพี่เค้าไปแบบนั้นหรอกค่า พี่เขาจะเก็บข้อมูลว่าคนที่มาชมเป้นกลุ่มไหนบ้าง เห็นเราทำหน้างงๆ ก็เลยสรุปว่า เป็น..นักท่องเที่ยว !!
 แล้วพี่เขาก็เลยเล่าเรื่องการบูรณะปราสาท แล้วพาเราเดินกลับไปถ่ายรูปปราสาทอีกรอบ บอกว่าเป็น highlight นะ ต้องถ่ายเงาปราสาทที่สะท้อนในน้ำด้วย 
เออ จริงเนอะ สวยขึ้นเยอะเลย แบบนครวัดนี่เอง จำได้ว่าตอนไปนครวัด ก็ต้องถ่ายให้เห็นเงาปราสาทในน้ำ แต่ที่นั่น ต้องให้ติดต้นตาลด้วย เป็น logo นครวัด


ขากลับเดินออกมา สวนกับอีกคณะหนึ่ง มีพระมาด้วย ท่านมาจากยะลาเชียวนะ มาไกลจริงๆ แอบคิดขำๆว่าพี่เจ้าหน้าที่เค้าจะใส่ว่าเป็นอะไร น่าจะนักท่องเที่ยวนะ 
เอ...หรือเค้าจะใส่ว่า เป็น..พระ !!!

เย็นแล้วค่ะ ได้เวลากลับบ้าน
แล้วทริปนี้ก็...เอวัง ด้วยประการละฉะนี้...^^
ต้องกราบเจ้าพ่อศาลหลักเมืองที่วันนี้เป็นอย่างที่ขอไว้ ได้เห็นทุกอย่างที่อยากเห็น ฝนไม่ตกเดินทางปลอดภัย...ถ้ามีโอกาสจะกลับมาเยือนสระแก้วอีกค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น