วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"เห็ดโคน" เป็นเหตุ ;)

ปีนี้ยังไม่ได้กินเห็ดโคนเลย มัวแต่เที่ยว 5555

พอดีมีเพื่อนๆไปเที่ยวเมืองกาญจน์ เลยสั่งให้ดูด้วยว่ามีเห็ดโคนขายมั้ย พอเพื่อนบอกว่ามี วันนี้ก้อคว้าน้องนั่งรถจะไปซื้อเห็ด...

อันว่า เห็ดโคนนี้ เป็นอาหาร favorite ประจำครอบครัว พ่อชอบมาก เลยพาให้ลูกๆทุกคนชอบไปด้วย แพงเท่าไหร่ ก็เห็นพ่อซื้อตลอด ภาพแม่นั่งทำเห็ด คุ้นตามาแต่เด็ก ทุกปีที่หาเห็ดได้ ก้อจะต้มใส่บาตรให้พ่อ เคยไปใส่บาตร แล้วหลวงตาถาม..นี่เห็ดโคนหรือ ดีใจที่หลวงตาชอบ เหมือนพ่อได้กินด้วย ;)

ครั้นจะไปซื้อเห็ดเฉยๆ ก็เกรงใจเพื่อนร่วมทาง จึงเปิดเน็ต หาที่เที่ยวสักหน่อย เผื่อไม่มีเห็ดด้วย อย่างน้อยยังได้เที่ยว แล้วก็เจอที่เที่ยวหนึ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ต้นจามจุรียักษ์ขนาด 10 คนโอบ ! เลยลองแวะไปดูสักหน่อย

โอ๊ะโอ... ระบบนำทางพาอ้อมไปด้านหลัง ผ่านทุ่งนาเวิ้งว้างไม่มีบ้านคนให้หวั่นใจเล่น ก่อนจะมาโผล่ด้านหลัง...แม่เจ้า ใหญ่มว๊ากกกค่ะ แล้วทรงต้นสวยมาก ยังกะมีคนคอยตัดแต่งกิ่งแน่ะ จะหามุมถ่ายรูปให้ได้เต็มต้น..ต้องเดินออกมาไกล



เขาบอกว่า อายุกว่าร้อยปีนะคะ มีป้ายประวัติเล่าว่า คุณตาวัย 95 ปี บอกว่า ตั้งแต่เด็กก้อเห็นเป็นต้นใหญ่แล้ว...อยากให้ทุกๆคนได้ไปเห็นจัง



วันนี้จากกรุงเทพมา รถติด และรถเยอะตลอดทาง ดูต้นไม้เสร็จก้อเที่ยงกว่าแระ ออกมาหาข้าวกิน เห็นป้ายครัวชุกโดน จะเข้าไปชิมสักหน่อย ในเน็ตให้ไว้ 5 ดาวเชียว พอเข้าไปเห็นรถบัสจอดอยู่เกือบ 10 คัน เลยขอถอย ออกมากิน แพคุณอี๊ด เจ้าประจำดีกว่า หมี่กรอบอร่อยเจ้าค่า



อิ่มตอนบ่ายสอง เลยไม่คิดจะเที่ยวไหนต่อ ออกมาตามหาเห็ดดีกว่าเนาะ ขับไปทางบ่อพลอย..แวะเจ้านึง เหมาเลย 3 ถุง คนขายบอกว่า ทำไมไม่มาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เห็ดเยอะ อาทิตย์นี้เห็ดน้อย (นึกในใจว่า ใครจะไปรู้ล่ะ ว่างมะไหร่ก็มามะนั้น) แล้วน้องก็สั่งว่า พี่จำไว้นะ อาทิตย์ออกพรรษาน่ะเห็ดจะเยอะ อ้อๆ ค่าๆ จะจำให้ฝังใจเลยค่า
ถึงได้มาแล้วสามถุงก็ยังไม่หนำใจ จอดแวะอีก 2 เจ้า กระเป๋าเบาเลยเชียว ถ้าไม่สงสารคนทำ คงควักหมดกระเป๋า 5555 

เห็ดเต็มเบาะเลยยยย


สมประสงค์แล้ว รีบกลับบ้านกันดีกว่า จะได้มารีบทำเห็ด เพราะใช้เวลาจัดการนานอยู่

ขับๆมา รถเยอะอีกแล้ว พอจะถึงแยกนครไชยศรี คันหน้าชะลอรถ เราก้อชะลอตาม...ตึง !!! อ้าว รถตู้ชนท้าย
อะไรฟระ ไม่ได้เบรกกระทันหันสักหน่อย >"

โทรแจ้งประกันก่อนลงไปเจรจา แล้วคู่กรณีบอกให้แยกรถ เพราะรถหลังติดยาว เดี๋ยวสิ ใจเย็นๆ ขอป้าถ่ายรูปไว้ก่อน ป้าจะได้มีหลักฐานว่า เธอมาชนท้ายป้า (คิดในใจนะ)
พอเคลื่อนรถเข้าข้างทาง คู่กรณีส่งสายให้คุยกะเจ๊ เจ๊ถามว่า หนู(?)เหตุเกิดยังงัย หนู(?)เบรคกระทันหันเหรอ หนูเอารถแอบเข้าข้างทางด้วย จะได้ไม่ขวางคนอื่น
เปล่าน๊า.. ชะลอตามคันหน้าตะหาก
เจ๊เสนอจะชดใช้ให้ 1500 แล้วจบแยกกันไป
บอกไม่ได้หรอกให้รอประกัน โทร.เรียกไปแล้ว รอไม่นานหรอก (ใครจะไปรู้ว่าความเสียหายเท่าไหร่ ถึงจะแค่กันชนก็เถอะ)
เจ๊สวนมาฉอดๆเลย ว่าหนูเป็นฝ่ายถูกจะเรียกทำไม ไม่ต้องเรียก หนูต้องเรียกเฉพาะหนูเป็นฝ่ายผิด  
ไม่ได้หรอก เรียกไปแล้วอะ

เจ๊วางสายไปเลย สักพักโทร.มาคุยกะคนขับอีก แล้วคนขับส่งโทรศัพท์ให้คุยกะเจ๊ต่อ
เจ๊ยังยืนยันว่าจะเรียกประกันทำไม พี่(ตอนนี้เรียกพี่แฮะ)ไม่เข้าใจเหรอ พี่รับเงินทางนี้ไป แล้วไปเคลียร์กับประกันเอง ไม่ต้องเรียก !!!!
ก็เรียกไปแล้วนี่ รอแป๊บเดียวเขาบอกไม่นานหรอก
แล้วเจ๊ก็ถามว่านี่แยกรถหรือยัง พอรู้ว่าแยกรถแล้ว เจ๊ก็ว่า แล้วจะรู้ได้งัยว่าใครถูกใครผิด....อะอ้าววว ไหงงั้นล่ะ ตะกี้ยังจะชดใช้ให้อยู่เลย รู้สิเจ๊ ก็ถ่ายรูปไว้แล้วอะ เจ๊เลยวางหูไปเลย 

ระหว่างรอเซอร์เวย์ คนขับรถตู้กะผู้โดยสารเดินกลับขึ้นรถตู้ไปหมดเลย เอ๋..อย่าบอกว่าจะหนีน๊า แอบถ่ายรูปทะเบียนรถตู้ไว้ก่อนเลย 5555
ไม่นานเซอร์เวย์เราก็มา จัดการนั่นนี่ แล้วบอกให้รอประกันของคู่กรณีก่อน เพราะถ้าเขาไม่เจอเรา อาจจะมีปัญหาได้ จ้ะ..รอก็รอ ไม่มีปัญหา มีร้านกาแฟให้นั่งเล่นพอดี แต่..รอนานไปหน่อยอะ 
แล้วก็มีรถตู้ตราเดียวกันกับคู่กรณีขับมาจอด มีผู้หญิงลงมาคุยกะคนขับ..ไม่รุเจ๊รึเปล่า..มีการชี้โบ๊ชี้เบ๊ ชี้มาทางป้าด้วย แล้วเสียงดังเชียว



พอเซอร์เวย์ทางโน้นมา ก็หันมาพยักหน้ากับเซอร์เวย์ของเราหงึก แล้วเข้าไปคุยกะลูกค้าเขา พูดกันช้งเช้ง พวกเราก็มองหน้ากันว่า เรื่องไม่น่ายุ่งนี่นา ก็เขาชนท้ายเรา ไงๆก็ผิด เซอร์เวย์เราเดินเข้าไปพูดกะทางโน้น แล้วเดินมาบอกว่า เขาขอให้เรารอหน่อย เขาขอเคลียร์กะลูกค้าก่อน 
คือทางคู่กรณีพยายามจะบอกว่าเราเบรคกระทันหัน  เหอะ..ให้จริงทางคุณก็ผิดอยู่ดี ไม่เข้าใจรึงัย
สักพักทางโน้นจึงเดินมาขอถ่ายใบขับขี่เรา แล้วเราถึงแยกมาได้ เบ็ดเสร็จ หนึ่งชั่วโมงเศษๆ เพราะรอประกันทางคู่กรณี

เราล่ะอยากรีบกลับบ้าน เห็ดทั้งหลายในถุงนอนร้องอยากออกมาเล่นน้ำแล้ว.. รีบโทร.บอกคุณแม่บ้านให้รู้ตัวว่ามีภารกิจสำคัญคืนนี้ ^^

รถค่อนข้างติดอีก เฮ้อ..ถึงบ้านทุ่มครึ่งพอดี รีบยกเห็ดให้คุณแม่บ้าน แล้วเปิดทำการโรงงานนรกทันที
เคยกินเห็ดโคนมัยคะ ที่บ่นๆกันว่าแพงนั้น มันมีเหตุผลนะคะ
- เห็ดโคนเพาะไม่ได้นะจ๊า เขาขึ้นเองตามธรรมชาติ ออกปีละครั้ง และจะขึ้นในที่ที่มีจอมปลวก เขาว่า หลังๆนี้ จอปลวกเหลือน้อยลง เห็ดโคนก็มีจำนวนน้อยลงด้วย
- เห็ดโคนมีรสชาติเฉพาะ กลิ่น และ เนื้อของเห็ดโคนมีลักษณะเฉพาะตัว ที่ป้าคิดว่ามันอร่อยกว่าเห็ดอื่นๆทั้งหลายน่ะ อิอิ
- กว่าจะได้กินเห็ด มีกรรมวิธียาวนานมาก เพราะเห็ดขึ้นกับดินต้องล้างให้สะอาดจริงๆ ถึงจะนำมาทำอาหารได้



ดูจากขั้นตอนการผลิตเห็ดดองโรงงานนรกของป้าก็ได้
- เริ่มจากเอาเห้ดออกมา แล้วจัดการใช้มีดขูดๆลอกๆดินที่ติดมากับเห็ดออกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าเป็นเห็ดที่ยาวและกรอบ เรามักทำมันหักซะก่อน ถ้าดินมันเกาะแน่นมาก ก็เอาไปแช่น้ำอุ่นก่อน
- เอาเห็ดที่ขูดดินออกแล้ว แช่น้ำ เพื่อให้เศษดินที่จับตัวเห็ดอ่อนตัว และหลุดออกมา 
- ล้างเห็ด ขั้นตอนนี้ ป้าใช้แปรงสีฟันและสก็อตไบรท์ ทำความสะอาดเห็ด ต้องทำทีละดอกค่ะ นานมากเลย ขั้นตอนนี้ เป็นอะไรที่เมื่อยมากกกก 
- ล้างเห็ดรอบต่อมา เราก็หั่นเห็ดเป็นชิ้นพอคำ ระหว่างนั้น ก็ดูด้วยว่ายังมีคราบดินติดอยู่ไหม ถ้ามีก็ล้างออกตอนที่หั่นเห็ดไปด้วย
- ล้างเห็ดที่หั่นเป็นชิ้นแล้ว ทีละชิ้นๆ ขั้นตอนนี้จะใช้มือล้าง ตรวจสอบว่าสะอาดดีหรือยังแล้วสงขึ้นมารอนำไปต้ม
- ต้มน้ำกับน้ำปลาให้เดือด แล้วใส่เห็ดลงไป เคี่ยวสักพัก ก็จะได้เห็ดอร่อยๆ
คืนนี้โรงงานนรกเปิดทำการทุ่มครึ่ง ปิดโรงงานตอนห้าทุ่มครึ่ง ได้เห็ดเก็บกินไปได้หลายเดือน อิอิ


ที่บ้านป้าจะแบ่งเห็ดใส่ถุง แช่ช่องแข็งไปเลย เก็บไว้ได้นานหลายเดือน พอจะกินก็เอาออกมาทำกับข้าว
เมนูสุดโปรดคือต้มยำเห็ด / ยำเห็ดที่แค่บีบมะนาวซอยหอมแดงพริกขี้หนูลงไปเท่านั้น เริ่ด !!  / ข้าวต้มเห็ด กินให้ได้รสเห็ดจริงๆ

ทุกปี ป้าจะไปเที่ยวแล้วแวะซื้อเห็ด มาทำเก็บไว้กินไปหลายๆเดือน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ไม่ได้ไปเที่ยว แต่ตั้งใจขับรถไปหาเห็ด เลยกลายเป็นขับรถไหาเรื่องซะงั้น 5555

แต่...ต้นจามจุรียักษ์นี่ ถ้าใครไปทางเมืองกาญจน์ ขอแนะนำให้แวะไปดูค่ะ
แค่คิดว่า เขายืนยงอยู่มาได้กว่าร้อยปีนี่ ก็น่าทึ่งแล้ว รูปฟอร์มต้นยังสวยสง่า หวังว่าจะยืนยงต่อไปได้อีกร้อยปี
คิดว่า ที่อยู่รอดมาให้พวกเราได้เห็นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยู่ในสถานที่ราชการ หากเป็นที่ดินเอกชน อาจไม่เหลือให้เราดูแล้วก็ได้ 



วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"อาหารชาววัง" ที่เวียดนาม

วันนี้จะมาเล่าสู่กันฟังถึง “อาหารชาววัง” ที่เวียดนาม ^^

ถ้าพูดถึงอาหารชาววัง พวกเราคนไทยจะคุ้นๆอยู่ เพราะเรามีโอกาสได้ลิ้มรสมือชาววังที่มาทำร้านอาหารกันอยู่หลายวัง โดยเฉพาะข้าวแช่ชาววังตอนหน้าร้อน แต่พอพูดถึงอาหารชาววังของเวียดนามแล้ว ออกแปลกใจ ก็ตั้งแต่จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย สละราชสมบัติ ในปี 1945 และต้องออกจากเวียดนามถือว่าสิ้นสุดระบอบกษัตริย์ตั้งแต่ประมาณปี 1955   นับมาถึงวันนี้ ก็เกือบ 60  ปีแล้ว จะเอาชาววังที่ไหนมาโชว์ฝีมือให้เราชิมกัน ถามๆ คุณท่านก็ว่า ร้านนี้เขาว่าสืบเชื้อสายมาจากชาววังสมัยราชวงศ์เหวียน ตอนนี้เวียดนามเปิดประเทศมากขึ้น ก็เลยออกมาเปิดตัว
มาเวียดนามหลายรอบ ตั้งแต่คุณท่านมาอยู่ที่นี่ ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สาม แต่เป็นครั้งแรกที่ท่านพาออกมาทานอาหารเวียดนาม แปลว่า ต้องอร่อย !!! 

มาถึงร้าน....อือม์ ร้านสวยยยยยค่ะ แต่เราเป็นโต๊ะเดียวในร้าน (คุณท่านว่า เคยมาเย็น เต็มทุกโต๊ะ) เมนูอาหารมีทั้ง set menu และ  a la carte สรุปพวกเรา(คุณท่าน)เลือกเป็น set menu 3 มี 8 รายการด้วยกัน

ระหว่างรออาหาร เค้ายกผ้าเช็ดมือมาวาง มองแล้ว เอ่อ...ไอ้เจ้า อบเชย กานพลู กะโป๊ยกั๊ก ที่วางข้างๆผ้านี่ เอามาทำอารัยคะ กินไม่ได้นี่ อ้อ...เขาตกแต่งและให้มีกลิ่นหอมๆน่ะ


รายการแรก ยกมาแล้วค่ะ Crab and pumpkin soup with Lemongrass, ginger and muchroom  เขาเสริฟมาในฟักทองลูกเล็กๆ ขนาดใหญ่กว่ากำปั้นนิดนึง กำลังน่ารัก มีมะนาวซีกหนึ่งและพริกแดงซอยใส่ถ้วยเล็กมาให้  ชิมดูนิดนึง รสชาติกลมกล่อม มีเนื้อปู เนื้อฟักทองหั่นเต๋าเล็กๆ กับเห็ดชิ้นบางๆ รสเนียนๆดี

แต่เมื่อเขามีมะนาวกับพริกมาให้ เราลองใส่สักหน่อย บีบมะนาวใส่ไปหน่อย และเขี่ยพริกลงไปครึ่งนึง โอ้ แม่เจ้า....รสเปลี่ยน ให้ความรู้สึกคนละอย่างกับที่ชิมตอนแรกเลย จากรสเนียนๆ เปลี่ยนเป็นรสแหลมๆ สดชื่น...เลยล่ะ  แต่ ไอ้เจ้าพริกนั่น แป๊บเดียว ต้องรีบตักออก เผ็ดมากกก  ขนาดป้าทานเผ็ดได้นะ เพิ่งรู้พิษสงพริกเมืองนี้

จานที่สองค่ะ เขาเอาข้าวเกรียบใส่ตะกร้ามาวางไว้ให้ แล้วยกชามใส่ Pamelo salad with prawns & chicken, flavored with Vietnamese herbs  เข้ามาตักเสริฟให้ทีละคนๆ
ก็เรียกแบบไทยๆว่า ยำส้มโอล่ะค่ะ แต่เขาไม่จี๊ดจ๊าดแบบบ้านเรา เขาจะออกเปรี้ยว เค็ม หวาน กลางๆ ไม่มีรสอะไรเด่นไปกว่ากัน ให้กินกับข้าวเกรียบนะคะ รสเบาๆ คิดว่า เขาต้องชิมส้มโอก่อนจะปรุงรส ถึงออกมาพอดิบพอดีขนาดนี้

จานที่สามนะคะ Browned, vermicelli-wrapped minced scallops with apple & pear  คล้ายๆทอดมันกุ้งบ้านเราค่ะ แต่เหมือนจะหนึบๆกว่าหน่อย แล้วเขาไม่ได้ใช้เกล็ดขนมปัง เขาเอาตัวทอดมันไปเกลือกๆกับเส้นหมี่บางๆก่อน ค่อยนำไปทอด จานนี้ดีค่ะ ทอดมาไม่อมน้ำมันเลยสักนิด ทานกับน้ำจิ้มบ๊วย

จานที่สี่ Steamed snowfish served in soya sauce and covered with sliced spring onion, shredded ginger and herbs เขียนซะยืดยาวเลย ก็ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊วนั่นล่ะค่ะ อร่อยมาก ปลาสด ไม่มีกลิ่นคาว น้ำซีอิ๊วก็เค็มกำลังดี อร่อยๆๆ

จานที่ห้า  Grilled beef in bamboo pipes, topped with spring onion in olive oil and crispy peanuts คิดว่า เป็นจานที่ดูเป็นเด่นในการเสริฟ  เป็นทำนองเนื้อผัดพริกอะค่ะ แต่ไม่มีพริกไม่เผ็ด รสชาติจะมีเค็มๆเปรี้ยวนิดๆ แล้วมีหวานติดปลายลิ้น หอมกลิ่นสมุนไพรกับอะไรบางอย่าง ซึ่งเราสรุปกันว่า หอมกลิ่นกระบอกไม้ไผ่อะค่ะ

เขายกมาเสริฟ เราเห็นกระบอกไม้ แอบคิดว่าแล้วจะกินยังงัย กินในกระบอกเหรอ ไม่ด๊ายยยไม่ได้หรอกค้า... เสียชื่อชาววังหมด เขาเสริฟโดยยกกระบอกไม้ไผ่คว่ำเทเนื้อใส่ชามให้เราค่ะ เขาต้องยกมาทั้งกระบอกให้เราเห็นกรรมวิธีการทำก่อน แล้วจึงจะเสริฟให้กิน คิดว่า ถ้าเป็นฝรั่ง คงจะตื่นตาตื่นใจดี กระบอกไม้ไผ่นี่ดูเป็นตะวันออกมากมาย

จานที่หก และ เจ็ด เขาเสริฟมาเป็นจานรวม พร้อมกันกับข้าวคนละถ้วยค่ะ  Grilled duck breast in orange sauce และ Stired-fried mixed garden vegetables with olive oil ก้อเป็ดอบส้ม กะผัดผักรวมนั่นแล  เป็ดก็นุ่มดี แต่ส่วนตัวเป็นคนไม่ค่อยชอบกินเป็ดอบส้มสักเท่าไหร่ อ่านเมนูแล้วก็แอบทึ่งว่า เขาช่างสรรคำมาเขียน แทนที่จะ fried mixed vegetables ธรรมดาๆ ยังอุตส่าห์ใส่คำว่า garden เข้าไป ให้ดูพิเศษขึ้นมาได้ พิถีพิถันสมเป็นชาววังจริงๆ

ตอนทานข้าวเนี่ย เราเอาเนื้อจานเมื่อกี้ที่ยังเหลืออยู่ มาใส่พริกแดงซอยลงไป แหม...เหมือนกินข้าว เนื้อผัดกระเพราเลยค่า ^^

อิ่มมากเลย ถึงเวลาของหวานแล้วค่ะ Trio of crème brulees : green tea, passion fruit and ginger  เสริฟมาในถ้วยตะไลเล็กๆสามใบค่ะ green tea ออกรสขมนิดๆ , passion fruit  แทบไม่มีรสเด่นขึ้นมา ถ้าไม่บอก อาจเดาไม่ออกว่ารสอะไรนะคะ ส่วน ginger  หอมกลิ่นขิงค่ะ ส่วนตัวชอบที่สุด


เป็นมื้อที่เห็นถึงความพิถีพิถันของการทำอาหาร รสชาติอาหารอร่อยทุกจาน ละเมียดละไมในการเสริฟ ปราณีตสมกับเป็นชาววังจริงๆ โดยส่วนตัวแล้ว ถ้าพูดถึงความชอบในรสชาติอาหาร ขอยกให้ ซุปฟักทอง ยำส้มโอ และปลานึ่ง เป็นเลิศ ส่วนเรื่องการเสริฟแล้ว ชอบเนื้อในกระบอกไม้ไผ่ค่ะ แต่ว่า ใน  set  ที่มี 8 รายการด้วยกัน ออกจะมากไปหน่อย อิ่มเกินไปนิดค่ะ โดยรวม สรุปได้ว่า enjoy มื้อนี้มาก สมกับการได้มากินอาหารเวียดนามที่ฮานอยเป็นครั้งแรก

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เมืองดอกบัว...อุบลราชธานี ^^

ฟังข่าวว่า น้ำท่วมอุบลราชธานี แล้วนึกถึงปี2554 ที่เราจะไปเที่ยวอุบลกัน เราไม่ใช่คนในพื้นที่ เราไม่รู้หรอกว่า ท่วมมากท่วมน้อย ท่วมปกติหรือท่วมน่ากังวล ปีนั้นพอจองตั๋วเครื่องบิน มีแต่คนทักว่าน้ำท่วม !! จะไปได้งัย  ก็น้ำท่วมกรุงเทพจนหลอนกันไปหมดนี่นะ พอเราไปถึงจริงๆ ถามเจ้าถิ่นเรื่องน้ำท่วม เขาหัวเราะ เพราะปกติเขาท่วมอยู่ทุกปี ตามริมน้ำมูล พอถึงหน้าน้ำ ชาวบ้านก็จะอพยพขึ้นมาอยู่บนถนนกัน โธ่ ใครจะทราบคะเราอยู่เมืองกรุง ประสาทเสียกับน้ำท่วมไปแล้ว แต่ปีนี้อุบลท่าจะท่วมจริง
 
ทริปเมืองดอกบัวนี่เกิดขึ้นเพราะ ป้าอยากจะไปดูทุ่งดอกไม้ป่ามาก กับอยากไปดูน้ำตกลงรู(ที่ตอนนี้โด่งดังจากสะครสาปพะเพ็ง) จึงซื้อรถเช่า ซื้อโรงแรมทอแสงโขงเจียมจากงานไทยเที่ยวไทยตั้งแต่ต้นปี 54 พอถึงเวลาปลายฝนต้นหนาว ก็หลอกล่อทุกวิถีทางให้สาวๆหลวมตัวไปด้วยกัน รวมตัวได้ 4 สาวๆ นั่งสบายๆในรถ 1 คันพอดี เราบินไปถึงอุบลช่วงเช้า จัดการเช่ารถ แล้วขับไปเช็คอินโรงแรมก่อน เพราะเราจะไปนอนโรงแรมทอแสงโขงเจียม ในตัวเมืองก็เลยนอนโรงแรมทอแสงอุบลไปด้วย เข้าโรงแรม หาที่กินข้าวกลางวัน ซึ่งแน่นอน เราขอลองชิมอาหารเวียดนาม ตกลงเลือก กอล์ฟเฟอร์เฮ้าส์ เพราะร้านนั่งสบาย อยู่ไม่ไกลโรงแรม

5555 กินกันไปกินกันมา ปาเข้าไปบ่าย 2 ถึงได้หยิบแผนที่มามองๆว่า บ่ายนี้เราจะไปไหนดี ระหว่างไปไหว้พระวัดในเมือง กับ ไปนอกเมือง เห็นมีพูดถึงปราสาทหินด้วย ชื่อปราสาทบ้านเบ็ญ ลองไปดูกันดีกว่าไม่เคยได้ยิน ขับรถวกไปวนมา ขับไปคุยไป ไม่ถึงสักที พอเริ่มสงสัยว่าหลงหรือเปล่า ก็เห็นป้ายบอกทางพอดี ไปถึงปราสาทตกสักบ่ายสี่แล้ว แสงกำลังสวยทีเดียว ตัวปราสาทไม่เหลืออะไรให้ดูสักเท่าไหร่ เห็นแต่ฐานศิลาแลง และปรางค์อิฐ 3 หลังเท่านั้น ถ้าถามก็จะบอกตรงๆว่า ถ้าเวลาไม่เหลือว่างจริงๆ ไม่ต้องมาที่นี่ก็ได้ค่ะ แต่ไหนๆเราก็มาแล้ว เจอแสงสวยๆ เราก็วนเวียนถ่ายรูปกันอยู่นานทีเดียว ^^




 
ขากลับ ยังอุตส่าห์แวะจอดถ่ายรูปหญ้าสีทองข้างทางอีกนะ บอกแล้วว่า แสงสวย...

 
เย็นวันนั้น เรากลับเข้ามาทานข้าวกับคุณพี่เจ้าถิ่นเมืองอุบล ขอบคุณที่เลี้ยงอาหารเมนูปลาอร่อยๆ แล้วจะพาไปกินขนมน้ำแข็งที่ร้านหน้า BigC อยากให้เราได้ชิมขนมจาวตาล แต่น่าเสียดายที่ไปถึงขนมหมดซะก่อน เสียดายจริง  แต่เราก็ได้แวะซื้อขนมปัง อาหารเล็กๆน้อยๆ เพราะน้องสาวคนสวยเมืองอุบล โทร.มาชวนให้ไปทำบุญถวายอาหารพระ ทำวัตรเช้ากันที่วัดป่านานาชาติ เพราะโชคดีว่าท่านชยสาโรมาเทศน์ที่นั่นพอดี เป็นบุญของพวกเราจริงๆ
 
สายๆก่อนออกเดินทางไปยังอำเภอโขงเจียม เราแวะมา brunch กันที่ Star Cup Coffee กาแฟดาวอร่อยดีค่ะ

ระหว่างทาง เราแวะเยี่ยมชมเขื่อนปากมูลด้วย แดดแรงจนอ่อนใจทีเดียว


ขับไปขับมาผ่านแก่งตะนะ ต้องแวะลงไปชมสักหน่อย ไปถึงกำลังมีถ่ายรายการหรืออะไรสักอย่าง ของวงโปงลาง รร.บ้านหนองคูณ เด็กๆแด๊นซ์กันไม่สนใจแดดเลย แต่ป้าๆขอหลบแดด ดูหลานๆก่อนละกัน 
 


 
สักพักก็ไม่ไหว หนีเข้าโรงแรม ว่ายน้ำเล่นให้เย็นใจดีกว่า
 
พักผ่อนกันจนพอมีแรงแล้ว ก็ตาลีตาเหลือกออกจากโรงแรมมาที่สะพานข้ามแม่น้ำมูล เพื่อชมวิวพระอาทิตย์ตกดินสวยๆ แต่...ก็ไม่ทัน แป่ว !! เหลือแต่แสงสวยๆไว้ให้ดูต่างหน้า
 
Dinner คืนนี้ ที่โรงแรม ริมแม่น้ำโขง อากาศดีม๊ากกกกก เย็นพอให้ห่มผ้ากันได้สวยๆ จิบ cocktail พอให้เลือดสูบฉีด นั่งคุยกันสบายๆ ตามบรรยากาศชิลๆ ก่อนจะแยกย้ายไปนอน แต่ตื่นแต่มืด ไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้น แก้ตัว ^^


อาหารเช้าที่ทอแสงโขงเจียมรีสอร์ทนี่ มีให้เลือกเยอะดีค่ะ ทั้งฝรั่ง ไทย และพื้นเมือง ชอบๆ อยากกลับไปอีก 555

อิ่มกันแล้ว ก็เตรียมตัวพร้อมผจญภัย เรามุ่งหน้าไปดูดอกไม้ป่า ที่ลานน้ำตกสร้อยสวรรค์ก่อน กรี๊ดดดด ทุ่งดอกไม้ป่า สวยถูกใจ เป็นดอกไม้เล็กๆ ลีลาน่ารัก





เราต้องเดินลัดเลาะไปตามลานหิน วันนี้แดดดีจริงๆ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสวย ข้างโขดหินมีลำธาร น้ำใสไหลเย็น เขาบอกว่า ถ้ามาเดือนหน้า ดอกไม้จะสวยกว่านี้ หุหุ



 

 
เพลียแดดจนไม่คิดจะเดินไปเล่นน้ำตกสร้อยสวรรค์ที่เห็นอยู่ไกลๆแล้วล่ะ เราไปเที่ยวต่อที่น้ำตกลงรู หรือ น้ำตกแสงจันทร์กัน ได้ยินชื่อน้ำตกลงรูมานานมากแล้ว เพิ่งมีโอกาสได้มา amazing มาก เราใช้เวลาที่นี่อยู่นาน ถ่ายรูปแล้ว ถ่ายรูปอีก จากถ่ายไกลๆ เข้าไปถ่ายใกล้ๆ แล้วออกมาถ่ายไกลๆอีก 555 คนมาแล้วไปหลายกลุ่มแล้ว แต่เรายังอยู่ ถ้าเอาเสื้อติดรถมา ก็จะลงเล่นน้ำเลยประมาณนั้น
นี่อะค่ะ รูที่น้ำตกลงไป
 
แล้วนี่ก้อคือ น้ำที่ตกลงมา


เขาว่าที่เรียกน้ำตกแสงจันทร์นั้น ก็เพราะสายธารน้ำตกที่โปรยละอองผ่านช่องหินลงมา เป็นสีนวลคล้ายแสงจันทร์ โดยเฉพาะในวันเพ็ญที่แสงจันทร์สาดส่องมาตรงรูหินพอดี ละอองธารน้ำตกจะเป็นประกายนวลสวยงามมาก ส่วนชื่อน้ำตกลงรูนั้น ก็ตรงๆตัวอยู่ น้ำที่ตกลงมาตามรูนั่นงัย
 
มัวเอ้อระเหยลอยชายอยู่นั่น จนมาไม่ทันดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาแต้ม ขับมาถึงทางเข้า ถนนก็มืดพอดี กว่าจะขับไต่ไปจุดชมวิว ก็มืดสนิท ได้รูปมาแค่นี้เอง อิอิ (ขอสารภาพว่า มันมืดจนคนขับแอบเสียวอยู่ในใจเลยล่ะ :P)

 
กลับถึงทอแสง หมดแรง... แยกย้ายกันไปพักผ่อน ป้ามานอนให้เขานวดอยู่พักนึง แล้วค่อยออกไปทานข้าวค่ำ แดดเมืองนี้แรงมาก ตัวดำไปแล้ว ส่วนน้องอีกคน ตัวแดงไปหมด กลับบ้านมา ต้องไปหาหมอเลย เพราะลอกทั้งตัว ^^
 
เช้าต่อมา หลังจากที่อิ่มหนำสำราญกันแล้ว เราเช็คเอาท์ เกิดปัญหาว่า น้ำมันใกล้หมด ขับรถแถวนี้  2 วัน ไม่เห็นวี่แววปั๊มน้ำมัน พอถามหา ขับตามที่เขาบอกทางให้ มันเป็นที่เติมน้ำมันแบบต่างจังหวัดไกลๆอะค่ะ ไม่มียี่ห้อ อึ้งๆ ไม่เคยเติมแบบนี้มาก่อน แต่จำเป็นนะ รู้งี้เติมตั้งแต่อำเภอใหญ่ก่อนเข้ามาโขงเจียมก็ดีหรอก
 
ก่อนจะออกจากโขงเจียม เราไปชมแม่น้ำสองสีกัน ดูได้จากวัดโขงเจียม แม่น้ำสองสีคือ จุดที่แม่น้ำมูลไหลมาลงแม่น้ำโขง แล้วสีของน้ำแตกต่างกันเห็นเป็นสองสี คือ สีปูน(แดง) กับสีคราม(น้ำเงิน)  เขาบอกให้จำง่ายๆว่า “โขงสีปูน มูลสีคราม”  วันที่เราไป สีครามเห็นไม่ค่อยชัดสักเท่าไหร่
 
จากโขงเจียม เรามุ่งหน้าต่อไปยังสามพันโบก ที่เขาให้สมญานามกันว่า Grand Canyon Thailand เชียวนะ รู้จักไหมคะ คิดว่าพวกเราน่าจะเคยเห็นสามพันโบกจากโฆษณาเที่ยวเมืองไทยยอดฮิตของพี่เบิร์ดกันแล้ว (ที่จริง คือ ของท.ท.ท.น่ะค่ะ) พี่เบิร์ด ทำให้เรารู้จักที่สวยๆของเมืองไทยเพิ่มขึ้นหลายแห่งเลย วันหลังจะเล่าเรื่องมอหินขาวที่ชัยภูมิให้ฟังนะคะ

ระหว่างทาง..ว๊ายๆๆๆ ดอกบัว จอดๆๆๆ ขอจอดถ่ายรูปดอกบัวในคูน้ำริมทางก่อน ตั้งแต่มา เพิ่งเจอดอกบัวนี่แหละค่ะ ชื่อเมืองอุบลทั้งที น่าจะรณรงค์ส่งเสริมให้ปลูกดอกบัวกันเยอะๆนะคะ

แล้วก็เห็นป้ายแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเลยแวะเข้าไปดู เสาเฉลียง กันหน่อย ดูดึกดำบรรพ์และแร้นแค้นดี ^^
 


ถึงแล้วค่ะ สามพันโบก มาได้เวลาดีจริงๆ เที่ยง !! กินข้าวชมวิวสามพันโบกกันตรงนั้น ก่อนจะออกไปสู้แดดกันต่อ ที่นี่มียุวมัคคุเทศก์ มาเสนอบริการนั่งเรือชมสามพันโบกด้วยค่ะ

สามพันโบก  เป็นแก่งหินที่อยู่ใต้ลำน้ำโขงในช่วงฤดูน้ำหลาก  ประมาณเดือนกรกฏาคม เดือนตุลาคม  และโผล่พ้นน้ำอวดความงามให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมได้  ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน มิถุนายน ทุกปี

เนื่องจากในช่วงฤดูน้ำหลากแก่งหินดังกล่าวจะจมอยู่ใต้บาดาล  และด้วยแรงน้ำวนกัดเซาะ  หินบางก้อนถูกกัดกร่อนคล้ายงานแกะสลักเป็นรูปสัตว์ รูปหัวใจ รูปมิกกี้เมาส์ และยังกัดเซาะแก่งหินกลายเป็นแอ่งเล็ก  ใหญ่ จำนวนมากกว่า 3,000  แอ่ง จนสถานที่แห่งนี้ถูกขนานนามว่า  สามพันโบก 
 
“โบก”เป็นภาษาของลาว  หมายถึงแอ่งหรือ บ่อน้ำลึกในแก่งหินใต้ลำน้ำโขง  ปัจจุบันสามพันโบก  กลายเป็นที่เพาะพันธุ์สัตว์น้ำจืด ในลำน้ำโขงตามธรรมชาติ   แหล่งใหญ่ที่สุด ช่วยรักษาระบบนิเวศน์และการขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำในลำน้ำโขงให้อยุ่ได้อย่างสมดุล
 
อันนี้...สามป้าโบก คริคริ

ยุวมัคคุเทศก์ของเรา พานั่งเรือไปตามลำน้ำโขง ชี้ชวนชมจุดต่างๆ ที่จินตนาการเป็นรูปต่างๆ บางอย่างเราก็เห็นตามที่บอก แต่บางจุด มองเท่าไหร่ ก็มองไม่ออก....ฮา
 
ไม่เชื่อก้อดูรูปนี้สิ  คิดว่าเห็นตัวอะไรจากรูปนี้คะ อิอิ
 
ตอบ - หน้าลิงค่ะ น้องบอกว่า ลิงร้องไห้ด้วย เอ่อ...มองอยู่นานกว่าจะเห็นลิง !!
 
บางจุด น้องก็ให้เรือจอดแล้วพาเราปีนไปดูหินต่างๆ เป็นไกด์ที่ดีค่ะ คนนึงอธิบาย คนนึงคอยดูแลป้าๆ ช่วยรับช่วยดึงเวลาปีนไปตามโขดหิน แต่จริงๆแล้ว ป้าไม่กล้าให้หลานรับหรือดึงหรอก น้ำหนักตัวเท่านั้น เกรงว่าจะหล่นตามป้าไปซะมากกว่า อิอิ แต่ต้องยอมรับว่า ลักษณะของโขดหินต่างๆแปลกตาดี หินบางส่วนถูกน้ำกัดเซาะเป็นเหมือนปะการังทีเดียว ธรรมชาติช่างสรรค์สร้าง
 
หินปะการัง

 
บ่อน้ำมิคกี้เม้าส์
 
บ่อน้ำรูปหัวใจ กับน้องไกด์ Jack & Spy เดี๋ยวนี้ กลายเป็นเด็กฝรั่งกันไปหมดแล้ว
 
กินแตงโมไหมคร้า...
 
รอยอุ้งตีนหมี...เนาะ
 
ตำนานหินหัวสุนัข   ทางเข้าของแกรนด์แคนยอนแม่น้ำโขง  มีหินสวยงามลักษณะคล้ายหัวสุนัข  ซึ่งมีตำนานเล่าขานกันต่างๆ นานา  บ้างก็ว่า แต่ก่อนมีเจ้าเมืองเป็นผู้เรืองอำนาจประทับใจความงามของสามพันโบก  จึงได้ส่งเสนามาศึกษาเพิ่มเติม  เมื่อมาแล้วพบขุมทรัพย์เป็นทองคำ  จึงให้สุนัข เฝ้าทางเข้าจนกว่าเจ้าเมืองจะออกมา  เมื่อเจ้าเมืองได้เห็นสมบัติเกิดความโลภ  กลัวเสนาจะได้ส่วนแบ่งจึงได้ออกไปทางอื่น  สุนัขผู้ภักดีก็เฝ้ารออยู่ตรงนั้นจนตายในที่สุด  บางตำนานก็ว่าลูกพญานาคในลำน้ำโขงเป็นผู้ขุดเพื่อให้เกิดลำน้ำอีกสายหนึ่งและได้มอบหมายให้สุนัขเป็นผู้เฝ้าทางระหว่างการขุดจนกระทั่งสุนัขได้ตายลงกลายเป็นหินรูปสุนัขในที่สุด จะตำนานไหนก้อไม่รู้ล่ะ แต่มองแล้วเหมือนสุนัขจริงๆ
 
หัวนกอินทรี


 
ลาล่ะค่า...

จบจากสามพันโบกด้วยความประทับใจแล้ว เราก็มุ่งหน้ากลับเข้าตัวเมืองอุบล มาพักกันอีกคืนหนึ่ง ก่อนจะกลับในวันพรุ่งนี้ มาเมืองอุบลต้องขอกินข้าวร้านปลาทอง อร่อยค่ะ ชอบมาก ปลาส้มร้านนี้อร่อยฝุดๆ อาหารอื่นๆก็ดี จำได้ว่าวันนั้นทานปลาบึกต้มเค็มพริกไทยดำ เขายกมาให้เหมือนกินขาหมูเลย สุดยอด...พูดแล้วอยากไปกินอีกง่ะ
 
อิ่มแล้ว ก็มาเดินชมเทียนพรรษาที่ทุ่งศรีเมือง ย่อยอาหารกันก่อนกลับโรงแรม
 
ช่วงเช้า เรามีเวลานิดหน่อย เลยแวะวัดทุ่งศรีเมือง ไหว้พระกันก่อนขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพ
หอไตร
 
หอพระพุทธบาท
 
ชอบภาพจิตรกรรมฝาผนังที่นี่



 
5 วัน 4 คืนที่อุบลราชธานี (17-21 พฤศจิกายน 2554) ขอบอกว่ายังเที่ยวไม่ทั่วเลยค่ะ อุบลเป็นเมืองใหญ่ มีอุทยานแห่งชาติถึง 3 แห่งด้วยกัน คือ ผาแต้ม, แก่งตะนะ และ ภูจองนางยอย ครั้งนี้ เราแค่ไปทางโขงเจียม ก็ยังเที่ยวไม่ทั่ว เช่นอยากขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาชนะได(ได้ยินชื่ออยู่เกือบทุกวัน) ก็พาตัวเองขึ้นไปไม่ไหวแล้ว อิอิ

เราหมายมั่นว่า เราจะกลับไปเยือนอีก เพราะนอกจากเรื่องเที่ยวแล้ว เรายังประทับใจอาหารอร่อย(ฮา..) ความสงบของเมือง ความมีเสน่ห์ และน้ำใจของคนอุบลที่น่ารัก ^___^  
 

^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^
เสาเฉลียงมีลักษณะคล้ายดอกเห็ด มีจุดกำเนิดและวิวัฒนาการมาจากหินทราย 2ยุค คือ หินทรายยุคไดโนเสาร์ (Jurassic Period) มีอายุประมาณ 180 ล้านปี และหินทรายยุคครีเตเชียส (Cretacecus Period) เกิดจากการกัดเซาะของน้ำ ลม และแสงแดด ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายล้านปี ประกอบกับการเปลี่ยนแปลง(ยุบและยกตัว)ของเปลือกโลก และในขณะเดียวกัน ตะกอนของเนินหินทรายที่เหลือจากการชะล้างพังทลาย ก็เริ่มแข็งตัวขึ้นโดยลำดับ ซึ่งเรียกว่า ขบวนการสึกกร่อนและต้านทานทางธรรมชาติ ส่วนต้นของเสาหิน มีวิวัฒนาการมาจาก การสะสมตะกอนของหินทราย ในยุคไดโนเสาร์ โดยในยุคนั้น สภาพลมฟ้าอากาศ ไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อความแข็งและยึดตัวของเม็ดหินทราย


ยุคถัดมาคือ หินทรายยุคครีเตเชียส อันเป็นหินที่ทับอยู่ส่วนบนซึ่งแข็งแรง ทนต่อการสึกกร่อนได้ดีกว่าส่วนที่เป็นเสาหินท่อนล่าง ดังนั้น เมื่อถูกกัดกร่อนทีละเล็กละน้อยนานๆ เข้า ส่วนต้นของเสาหินจึงมีลักษณะสูงชะลูดคล้ายโคนเห็ด แต่หินส่วนที่ทับ หรือเกยทับอยู่ข้างบน จะไม่ติดเป็นเนื้อเดียวกับเสาหิน เพราะเกิดต่างยุคและต่างเงื่อนไขของสภาพแวดล้อม เป็นผลให้สามารถคงรูปใกล้เคียงสภาพเดิม ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ ยื่นคลุมเลยส่วนที่เป็นต้นเสาหินออกไปคล้ายดอกเห็ด นับเป็นประติมากรรมทางธรรมชาติชิ้นเอกร่วมกันของหินทรายทั้ง 2 ชุด ซึ่งก่อให้เกิดเสาหินกระจายอยู่มากกว่า 10 แห่ง โดยเฉพาะบริเวณภูกระบอ มีอยู่มากมายคล้ายสวนหิน
ชาวท้องถิ่นเรียกเสาหินที่คล้ายดอกเห็ดนี้ว่า "เสาเฉลียง" ซึ่งแผลงมาจากคำว่า"สะเลียง" เป็นภาษาส่วยที่หมายถึง "เสาหิน"


ข้อมูลบางส่วนจาก www.guideubon.com  , www.oceansmile.com