วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นครศรี..ที่..เขารามโรม ๖ ( Time to Relax ^___^ )


หลังจากที่เราได้ดูโลมาแล้ว มีความรู้สึกเหมือนบรรลุเป้าหมายทุกอย่างแล้ว 
ภารกิจสำเร็จ !....ประมาณนั้น อิอิ

เริ่มหิวๆนิดนึงแล้วอะ นัดสาวๆที่ไม่ได้ไปลงเรือไว้ที่ "น้ำตกโฉ" ไปถึงที่นั่น พบว่าเป็นลำธารเล็กๆ น้ำเย็นใสสะอาด มีชาวบ้านไปเล่นน้ำที่นั่นกันเยอะทีเดียว ตั้งแต่รุ่นคุณยายจนถึงรุ่นหลาน ริมลำธารปลูกเป็นศาลาไม้ไว้สำหรับนั่งทานอาหาร มีร้านอาหารอยู่หลายร้าน
เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็น"น้ำตก"แต่อย่างใด ซึ่งป้าไม่ได้ถามหาน้ำตก เพราะมีเรื่องอื่นเรียกร้องความสนใจไปซะก่อน ^^ น้องๆชวนมานั่งที่สะพานไม้ หย่อนเท้าลงไปแช่น้ำเล่น.....แอร๊ยยย  ๕๕๕๕ จั๊กกะจี้อะ 
ตรงนี้เป็นที่สปาเท้าด้วยปลาตามธรรมชาติค่า ไม่เสียตังด้วย ป้าบ้าจี้ ลองหย่อนเท้าลงไปนิ่งๆ พอปลามาตอดตัว ๒ ตัว ก็ไม่สู้แล้ว ๕๕๕ ปล่อยคนอื่นสปาตามสบาย ป้าไปสั่งของกินเล่นมารองท้องดีกว่า


รองท้องไม่ทันรัย สาวๆก็มา พร้อมกับบอกว่าต้องรอสักพัก สั่งของทะเลสดๆไว้ เดี๋ยวเราไปรับแล้วไปให้ร้านอาหารทำให้ ไม่เป็นไรค่ะ รอได้ เพราะว่าแม่ส่ง "ขนมโค"มาฝากด้วย เคยทานมั้ยคะ เป็นแป้งนิ่มๆ เม็ดกลมๆ ข้างในสอดไส้ด้วยเม็ดน้ำตาล(คิดว่าน้ำตาลปึกน่ะค่ะ) ข้างนอกคลุกมะพร้าว อร่อยดี แป้งนุ่ม หอมนิดๆ ตอนเคี้ยวเจอเม็ดน้ำตาลยิ่งอร่อย อิอิ


พอได้เวลา เราก็มุ่งหน้าไปหาดแขวงเภา ตรงนี้เป็นท่าเรือเฟอรี่เก่า เป็นอ่าวเล็กๆ หาดทรายขาวสวยทีเดียว มีร้านอาหารอยู่ ๒-๓ ร้าน แต่เรามาที่ร้านเคียงทะเลซีฟู้ดค่ะ เพราะสาวๆรู้จักกับเจ้าของร้าน และเขาว่าฝีมือทำอาหารสุดยอด..เดี๋ยวก็รู้..


ตอนที่เราไปถึงสักบ่ายสองเศษๆแล้ว ลูกค้ายังมีอยู่หลายโต๊ะ และทะยอยมาอีกเรื่อยๆ เรารอสักพัก อาหารของเราก็ถูกยกมา โอยยยยย  กินกันจนอยากลงนอนทีเดียว เรามีปูนึ่ง กุ้งอบเกลือ ปลาเผา ปลานึ่งมะนาว กั้งทอดกระเทียม แกงป่าปลา ปลาหมึกย่าง อร่อยสุดๆ ทั้งความสดของวัตถุดิบ และฝีมือคนทำ  ปกติป้าไม่ค่อยทานกั้ง แต่ที่เขาทอดกระเทียมมาให้นี่อร่อยเหลือเกิน เค็มๆหวานๆ พูดแล้วอยากทานอีก ^^


ระหว่างที่ผู้ใหญ่ใช้เวลาอันยาวนานในการกิน ขนาดย้ายโต๊ะ ๓ รอบ คือ ย้ายจากข้างใน มาริมทะเล เพื่อดูเด็กๆเล่นน้ำไปด้วย แล้วย้ายเข้าร่มเมื่อฝนตก เด็กๆก็สนุกกับทะเล และ แอพถ่ายรูปของป้ามากมาย

เรากินกันตั้งแต่บ่ายสาม จนฟ้ามืดถึงได้กลับน่ะ ขากลับเจอด่านตรวจ เอาล่ะลุ้นกันว่าจะผ่านมาได้หมดมั้ย เพราะคนขับมีแอลกอฮอลล์อยู่ในตัวกันบ้างแทบทั้งนั้น คันแรกผ่านด้วยดี อาจจะเพราะพ่อวุฒิมีผู้โดยสารเป็นสาวน้อย ๒ สาว คันป้าก็ดูท่าทางเป็นนักท่องเที่ยวผู้เรียบร้อย คันที่ ๓ รีบบอกคุณตำรวจก่อนเลยว่า ขับตามนาย นายมาจากกรุงเทพ ??? น้องบอกว่า เวลาบอกแบบนี้ ตำรวจจะไม่ดูนาน เพราะไม่รู้ว่านายเป็นใคร อ้อ.... ส่วนคันสุดท้าย ที่เป็นสาวล้วน และเป็นชาวขนอม กลับไม่ผ่าน ด้วยข้อหาทะเบียนรถขาดต่ออายุ ต้องให้คุณพ่อที่เป็นตำรวจเหมือนกันโร.มาเคลียร์ให้ อิอิ

คืนนั้น เราเล่นน้ำสระ พักผ่อน ดูทีวี นั่งคุยกันสักพัก ก็แยกย้ายกัน เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นวันทำงาน น้องๆที่ไม่ได้ลางานไว้ต้องกลับไปทำงาน หวังว่าเราจะได้เที่ยวกันอีกนะคะ มีนัดแนะกันถึงทริปหน้า ว่าจะเป็น..เกาะเหลาเหลียง หรือ เขาสก..ดีน๊อ ^^

เช้าวันที่ ๘ พค. วันสุดท้าย เป็นวันตัวใครตัวมัน คือ ใครอยากทำอะไรก็ตามสบาย ขอแค่พร้อม check out ตอนเที่ยงเท่านั้น งัยๆ ป้าก็ตื่นตะเช้าอยู่ดี ยังหวังจะได้เห็นไข่แดงเหนือท้องทะเล อิอิ ลุกมาตั้งแต่หกโมงเช้า ออกมาเดินเล่นชายหาด..พระจันทร์ยังไม่ตกตามเคย อากาศดี๋ดี.. และสุดท้ายก็ไม่ได้เห็นไข่แดงเหมือนเมื่อวาน 


หาดตอนเช้าที่นี่สงบดี มีคนตื่นมาเดินเล่นไม่กี่คน นานๆมีเรือแล่นผ่านมาสักลำ และมีนกน้ำโฉบมาเป็นเพื่อนแก้เหงาบ้าง มัวแต่นั่งมอง พอเขาจะไป ก็หยิบกล้องมาถ่ายรูปไม่ทัน

หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว ก็เดินเล่นเก็บภาพนั่นนี่ไปเรื่อย
ดอกไม้รอบๆรีสอร์ทค่ะ

ร่องรอยที่ชายหาด..



น้ำทะเลที่นี่ใส ปูเสฉวนตัวโต๊..โต ^^

สุดท้าย..ป้าก็ลงไปเล่นน้ำ คลื่นเรียบมาก ได้นอน(ใส่แว่นดำ)ลอยตัวอยู่ในทะเล แหงนหน้ามองฟ้าใส กว้าง ฟังเสียงคลื่นกระซิบอยู่ริมหู บรรยากาศสงบมาก รู้สึก"นิ่ง" ดีจังค่ะ.. เป็นคนชอบนอนลอยตัวในทะเล ปล่อยให้ตัวเราระเรื่อยไปตามสายน้ำ ยามนั้น ปัญหาและความเครียดหายไปไหนก็ไม่รู้

ภาพ "บ้านศิวิไลซ์รีสอร์ท"ถ่ายเข้ามาจากกลางทะเลค่ะ ^^

เรา check out ตามเวลาปกติ แล้วออกไปขับรถดูรอบๆ มีรีสอร์ทหลายแห่ง เราเข้าไปที่ราชาคีรี ก็สวยดีค่ะ ที่จริงอยากเห็น อาว่ารีสอร์ท แต่ไม่ผ่านอะ 

ไปหาอะไรใส่ท้องกันดีกว่า น้องพามาทานที่สิชล ที่ภัตตาคารโกโตน (หรือโก้โตน ก็ไม่รู้ หน้าร้านมีเขียนไว้ทั้งสองแบบ) ร้านที่ทานเป็นสาขา ๒ เห็นว่าสาขาแรกอยู่ในอ.สิชล เขาว่า ร้านนี้มีชื่อ ก็คงดีหรอก ถึงมีสาขา ๒ แถมขนาดร้านยังใหญ่โตด้วย

เห็นป้ายหน้าร้าน ขึ้นว่า ขาหมูรสดี และอยู่ในเมนูแนะนำด้วย ลองสั่งมาดู ก็นุ่มนวลดี แต่ป้าว่า ขาหมูนกน้อยถูกจริตป้ามากกว่านะ แกงส้ม และปลาเค็มใช้ได้อร่อยดี นอกนั้นเฉยๆอะ คือ ยำผักกูด ปลากระพงผัดฉ่า โดยรวมแล้ว ป้าว่าสู้อาหารฝีมือของแม่น้องๆทั้งสองแม่ที่ทำให้ทานในทริปนี้ ไม่ได้อะค่ะ
(รู้จักมั้ยคะ ขาหมูนกน้อย อยู่ริมถนนเพชรเกษมที่แยกละแมน่ะค่ะ ใครผ่านลองแวะชิมดู วันนึงๆเขาต้มขาหมูเป็นร้อยๆขาเลย เมนูที่อร่อยมากอีกอย่างคือ ไก่ผัดพริกแกง ^^) 

อิ่มหนำดีแล้ว น้องก็พาแวะเรื่อยมาตามทาง เข้าไปดูเขาพลายดำ ที่นี่เขาว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของอ.สิชล ตอนที่ป้าไปถึงลมแรงมาก กำลังจะมีพายุ แต่ก็เห็นล่ะว่า หาดเขาสวยดีอยู่ ที่นี่มีรีสอร์ทให้พักด้วย ท่าทางจะเงียบกว่าทางขนอม

แต่ที่ทำป้าประหลาดใจ คือ ต้นไม้ที่ด้านหน้านั้น มีลูกเหมือนมังคุดเลย แต่ต้นมันไม่ใช่ ป้าเห็นแล้วหันไปมองหน้าน้อง ที่มีพื้นเพเป็นชาวสวน ก็ทำหน้างงเหมือนกัน จนกระทั่งเห็นป้ายว่าเป็นต้น"เกร็ดกระโห้"  แหม ถ้าต้นนี่ไม่ได้ยืนรับแขกอยู่แบบนี้ ป้าจะแอบเก็บลูกมาผ่าดูข้างในว่า เหมือนมังคุดด้วยไหม..จริงๆนะ


จากเขาพลายดำ ก็ไปดูหาดสิชล ทรายที่นี่จะออกแดงๆ ไม่ขาวเหมือนทางขนอมอะ หาดหินงาม ตามชื่อเลย คือมีตะหิน แล้วฝนก็ตกพรำๆ น้องตั้งใจจะพาเข้าเมืองนครอีกรอบ แต่ป้าเห็นว่า น้องต้องกลับหาดใหญ่เย็นนี้ จึงให้ไปส่งสนามบินเลยดีกว่า นั่งเล่นมือถือไป เดี๋ยวก็ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว จึงมุ่งหน้าไปสนามบินกัน

ระหว่างทางฝนตกพรำๆตลอดทาง สักพักเจอรถติด ให้นึกถึงกรุงเทพ ที่เราชินปากกันว่า "ฝนตก..รถติด"  แต่ที่นี่ไม่ใช่หรอก เกิดอุบัติเหตุน่ะค่ะ พอเราผ่านที่เกิดเหตุ ป้าหันไปดู ใจหายเลย รถคันนี้ เพิ่งแซงเรามา..สัก ๒๐ นาทีเองมั้ง จำได้อะ ตอนนั้นยังคิดอยู่ว่า ขับรถเปรี้ยวจริง นี่ล่ะนะ แค่เสี้ยววินาทีเดียว อะไรๆก็พลิกผันได้

และแล้ว เวลาร่ำลาก็มาถึง ขอบใจน้องชายคนนี้มากๆที่ต้อนรับขับสู้ป้าเป็นอย่างดี แถมลางานมาเที่ยวกับป้าด้วย ถ้าไม่ได้น้องช่วยจัดการ ป้าคงไม่มีโอกาสได้ขึ้นเขารามโรม ได้เห็นอะไรหลายอย่างแบบนี้ และต้องขอบใจน้องๆที่ขนอม ที่ช่วยพาไปดูโลมาและหาอะไรๆที่อร่อยเหลือหลายให้พี่ได้ทาน รวมถึงน้องๆที่มาแจมเที่ยวเป็นช่วงๆ ทำให้ทริปนี้มีความหมายมากขึ้น..ขอบคุณค่ะ ^^

สนามบินที่นครกำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุง ทำให้พื้นที่ค่อนข้างคับแคบและไม่มีอะไรน่าสนใจ โดยส่วนตัวคิดว่า กิจกรรมที่เหมาะสำหรับสนามบิน คือ นวด เพราะเป็นการฆ่าเวลาได้ดี เคยไปที่สนามบินอุดรก่อนเวลามากๆแบบนี้ ไปนั่งให้เขานวด ก็รู้สึกว่าแป๊บเดียว และก็เห็นคนนวดไม่ว่างอยู่ตลอดเลย

ค่อนข้างแปลกใจว่า มีคนที่กลับไฟลท์เดียวกับป้ามานั่งรอกันอยู่เพียบเลย ทั้งๆที่ป้ามาก่อนเวลาประมาณเกือบ ๓ ชั่วโมงน่ะ  เวลามาต่างจังหวัด คนพื้นที่มักจะบอกว่าไม่ต้องรีบๆ แค่นี้เอง (ขนาดเคยวิ่งขึ้นเครื่องคนสุดท้ายที่อุบลมาแล้ว อิอิ) เลยเดาว่า การเดินทางมาสนามบินนคร จากตัวเมืองโดยรถสาธารณะ น่าจะยังไม่สะดวกเท่าที่ควร

การเดินทางครั้งนี้ ถือเป็น Perfect Trip เพราะราบรื่น สมประสงค์ สนุก และมีความสุขค่ะ ^______^



The End ^^

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นครศรี..ที่..เขารามโรม ๕ ( โลมาสีชมพู ^^ )

เช้าวันที่ ๗ พค. ๕๕ ป้าตื่นแล้ว รีบลุกจากเตียงตั้งแต่ ๖ โมง เป็นปกติของการมาเที่ยว เพื่อที่จะดูตะวันขึ้น เมื่อคืนคุณพี่เจ้าของรีสอร์ทบอกว่า อาจจะได้เห็น ไข่แดงกลมๆลอยอยู่เหนือท้องทะเล...
แต่สิ่งที่เห็นก่อนตะวัน คือ จันทรา ^^ พระจันทร์ยังไม่ตกเลยค่ะ มองเห็นมั้ยคะ

น่าเสียดายว่า เช้านี้ ฟ้าไม่โปร่ง เลยได้แต่เห็นเมฆสวยๆแทน


ป้าไม่มีเวลาโอ้เอ้สักเท่าไหร่ เพราะนัดกันว่า ๙ โมงเช้าเราจะไปลงเรือดูโลมาสีชมพูกัน  ก่อนมา..เมล์ถามน้องว่า คิดว่าเราจะได้เห็นมั้ย กลายเป็นว่าสร้างความกดดันให้น้องกลัวว่าพี่จะไม่ได้เห็น โธ่ แค่อยากรู้ว่า โดยปกติเค้าเห็นกันหรือเปล่าเท่านั้นเอง ค่าเรือไม่ได้แพงเหมือนเวลาไปดูวาฬที่เมืองนอกสักหน่อย แบบนั้นน่ะ ป้าไม่เสียตังหรอก กลัวไปแล้วเห็นแต่ทะเล

จุดที่เราจะลงเรือไปดูโลมา คือ ที่..แหลมประทับ.. พอเลี้ยวรถเข้าไปในหมู่บ้าน ชาวบ้านแถวนั้นก็ออกมาช่วยดูที่จอดรถให้ เห็นมีรถจอดอยู่ริมถนน หน้าบ้านชาวบ้านแถวนั้นหลายคัน แปลว่าเรามาสายแล้วล่ะสิ วันนั้น เขากำลังเทคอนกรีตทำถนนกันอยู่ เขาก็ีบอกทางให้ว่าต้องเดินไปทางไหน เอาชูชีพมาให้ แล้วก็ชวนเชิญให้เช่าหมวกปีกกว้าง สำหรับสาวๆใส่กันแดด ตรงท่าเรือมีรูปปั้นโลมา ๒ ตัว ป้าบอกให้รีบถ่ายรูปก่อน เป็นหลักฐานว่าเราได้เห็นโลมากันแล้ว อิอิ

เจ้า ๒ ตัวนี้มายืนส่งพวกเราลงเรือหางยาว ที่มีผ้าใบขึงเป็นหลังคาให้หลบร่ม

เรือที่เรานั่ง หมุนไปหมุนมาอยู่พักนึงกว่าจะออกเรือได้ เสียงป้าเจ้าของเรือสั่งเด็กเรือ ๒ คนลั่นๆ ท่อซ้าย ท่อขวาอะไรไม่รู้ เราก็พยายามมองๆว่าอะไร สักพักถึงเข้าใจว่า ป้าเค้าสั่งให้ ถ่อทางซ้าย ถ่อทางขวา อิอิ

วันนี้ทะเลเรียบ เรานั่งออกไปสักพัก เริ่มมีเรือสวนกลับมา ส่งเสียงถามกันว่าเห็นโลมามั้ย ก็พยักเพยิดว่าเห็น ให้เราได้ดีใจกันว่าเดี๋ยวเราก็จะได้เจอมั่ง

อิตาคนนี้ เหมือนเป็น logo ที่นี่งัยมะรุ เพราะตอนหาข้อมูลเที่ยว ก็เจอรูปแบบนี้

ระหว่างทาง เราจะผ่านเกาะต่างๆที่มีหน้าผา หรือส่วนด้านล่างเป็นเหมือนแผ่นหินซ้อนกันเป็นชั้นๆ เขาเรียกกันว่า เขาหินพับผ้าค่ะ (แต่ไม่ใช่เขาพับผ้าแถวระนองน๊า)


ข้อมูลจาก http://khanom.siamfreestyle.com//tourist-attractions/ เขาว่า...

เขาหินพับผ้า ปรากฎการณ์ทางธรณีวิทยา ที่เห็นได้บนเขาหิน และเกาะบางเกาะในทะเลขนอม บริเวณหน้าอ่าวเตล็ด คือที่เกาะท่าไร่ เกาะนุ้ยนอก เขาหลักซอ และชายฝั่งอ่าวเตล็ด ลักษณะที่เห็นจะเหมือนเป็นแผ่นหินที่ทับซ้อนเรียงกันเป็นชั้นๆสูงขึ้นไป ด้านบนมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมหลากหลายชนิด บางชนิดก็ดูแปลกตาออกไป บางแห่งก็จะพบกล้วยไม้ป่าขึ้นอยู่ด้วย
การเกิดของเขาหินพับผ้า เกิดจากกระบวนการหินตะกอน (sedimentary process) ที่มีการตกตะกอนของหินที่มีส่วนประกอบและความแข็งต่างกัน เป็นชั้นๆ ในท้องทะเล ต่อมามีการเอียงและยกตัวของเปลือกโลกชั้นหินดังกล่าวก็เกิดเป็นหน้าผา เมื่อถูกกระแสน้ำ และลม กัดกร่อนเอาชั้นที่อ่อนกว่าออกเหลือชั้นที่แข็งแกร่งกว่า ก็จะดูเหมือนแผ่นหินที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ เปรียบเหมือนขนมชั้น หรือผ้าที่พับไว้ จึงเป็นที่มาของชื่อ " หินพับผ้า " เมื่อนักท่องเที่ยวฝรั่งได้มาเห็นที่นี่ก็บอกว่า เขาหินลักษณะนี้คล้ายกับ Pancake rock ที่เมือง Punakaiki ประเทศนิวซีแลนด์ ก็เลยเรียกหินพับผ้าเหล่านี้ว่า " แพนเค้ก ร็อค  เมืองไทย " อีกชื่อหนึ่ง


ดูชัดๆค่ะ

ส่วนบริเวณนี้(รูปข้างล่าง) เขาเรียก "เวทีพุ่มพวง" เล่ากันว่า วันที่คุณพุ่มพวง ราชินีลูกทุ่งเสียชีวิตนั้น มีชาวเรือมานอนเล่น แล้วหลับฝันไป ได้ยินเสียงเพลงของคุณพุ่มพวงที่นี่ กลับไป ถึงได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของเธอ เขาเล่ามาประมาณนี้น่ะค่ะ

ผ่านเกาะสวยๆมาแล้ว และผ่านเกาะนุ้ยที่มีหลวงปู่ทวด จนมาถึงอ่าวนึง น้องเขาก็จอดเรือ แล้วบอกที่นี่แหละ เป็นแหล่งของโลมาสีชมพู ให้เราช่วยกันมองหา  อุ๊ยๆๆๆ ตื่นเต้นอะ แต่รออยู่พักใหญ่ ก็ไม่มีวี่แวว น้องคนเรือเขาทุบท้องเรือเสียงดังๆ ทำนองเรียกหา แต่ก็ยังไม่เห็น มีเรือมาอีกลำ  วนหาอยู่ก้ไม่เจอ น้องเขาบ่นๆว่า สายแล้ว...แง ! เรามาสายไปเหรอ >,<


รออยู่นาน จนคิดว่าไม่เจอแล้ว เขาก็ไปวนที่อ่าวอื่น  ป้าเริ่มบอกตัวเองให้ทำใจแล้วว่า "ธรรมชาติ..ไม่มีใครกะเกณฑ์ได้"  :(
เรือไปวนดูวิวที่อ่าวอื่นแล้วย้อนกลับมา ก็ยังไม่เจอ ก็เลยคิดว่าจะไปเกาะนุ้ยกันก่อนเถอะ แต่แล้ว ก็เห็นเรือลำอื่นเขาชี้ๆ เราเลยเข้าไปดู
นั่นๆๆๆๆ โลมาๆๆๆ เห็นม๊ายยยย 
แต่ไม่ใช่สีชมพูนะ เขาว่ายวนเวียนมาแถวเรือเราด้วย ให้ชื่นใจว่า มาไม่เสียเที่ยวแล้ว ทุกคนในเรือหน้าตาเบิกบาน น้องที่เป็นคนขนอมบอกว่า รอดตัวแล้ว พี่ได้เห็นโลมาแล้ว ๕๕๕๕

คนเรือบอกว่า ตัวนี้ไม่คุ้นเคย....แน่ะ มีจำหน้ากันได้ด้วยเหรอ ^^
แล้วเขาก็พาเราไปเกาะนุ้ย ซึ่งต้องจอดเรือ แล้วลงเดินลุยน้ำเข้าไป ที่นี่มี บ่อน้ำจืด...ป้าได้ยินเรื่องนี้ เมื่อ ๒ ปีก่อน ตอนที่มาขนอมครั้งแรก น้องเล่าว่า เป็นตามตำนานหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด คิดว่าคงเคยได้ยินกันนะคะ ตอนนั้น เรานัดกันว่าจะหาเวลามาดูกัน แต่ก็ไม่ได้มาสักที ป้าน่ะ..สงสัยจริงเชียว ว่าจะจืดได้อย่างไร ป้าซึ่งเลื่อมใสหลวงปู่ทวดมากๆ อยากมาเห็นบ่อน้ำทะเลจืดนี่ ยิ่งกว่าโลมาเสียอีก


บ่อน้ำทะเลจืดที่ว่านั้น เป็นบ่อเล็กๆ ขนาดสัก ๒-๓ ฟุตเองมั้ง อยู่ริมหาดห่างจากน้ำทะเลไปไม่กี่ก้าวเอง มีน้ำซึมจากบ่อขึ้นมาแล้วไหลลงทะเลไป ตอนแรกที่เห็น อึ้ง ! แล้วลองชิมน้ำดู จืด !! จริงๆนะคะ ยังเสียดายกันว่า น่าจะพวกขวดเล็กๆมารองน้ำกลับไปฝากคนอื่น
พอชิมน้ำจืดให้อัศจรรย์ใจกันแล้ว เราก็ปีนขึ้นไปกราบหลวงปู่ทวดกันค่ะ  (ถึงป้าจะเข้าใจว่า เป็นน้ำจากใต้ดินน่ะค่ะ ถึงได้จืด แต่ก็เต็มใจที่จะเชื่อตำนานหลวงปู่ทวดอยู่ล่ะค่ะ อิอิ)

ตำนานหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดค่ะ จาก http://khanom.siamfreestyle.com//tourist-attractions/

จากปรากฎการณ์บ่อน้ำจืดกลางทะเล ซึ่งสอดคล้องกับตำนานหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ที่เล่ากันว่า เมื่อครั้งหลวงพ่อทวดเดินทางจากสงขลาไปยังกรุงศรีอยุธยาด้วยเรือสำเภา ระหว่างทางเกิดคลื่นลมแรงเรือไปต่อไม่ได้ ต้องลอยลำอยู่กลางทะเลจนน้ำจืดหมด หลวงพ่อทวดได้แสดงอภินิหารเอาเท้าเหยียบน้ำทะเล กลายเป็นน้ำจืดดื่มกินได้ ให้ลูกเรือขนน้ำไปใช้ในระหว่างการเดินทาง
เรื่องเล่านี้มีสืบทอดกันมาร่วม 400 ปี อาจจะพิศดารแตกต่างกันไปบ้าง แต่เป็นเรื่องราวที่ชาวบ้านย่านนี้ให้ความเชื่อถือ เมื่อพบว่ามีบ่อน้ำจืดอยู่กลางทะเลที่เกาะนุ้ย ก็ยิ่งเพิ่มความเชื่อและศรัทธาที่มีต่อหลวงพ่อมากยิ่งขึ้น จึงได้สร้างรูปบูชาหลวงพ่อทวดด้วยหินแกรนิต แกะสลักขนาดหน้าตัก 36 นิ้ว อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่เกาะนุ้ยเพื่อให้เป็นเสมือนที่เคารพของคนในพื้นที่ รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่ได้มาถึงเกาะนุ้ย เกาะหลวงพ่อทวดแห่งทะเลขนอม

เข้าใจว่า ถ้าใครอยากจะมาพิสูจน์เรื่องบ่อน้ำจืดนี่ ควรจะมาตอนเช้า ที่น้ำยังไม่ขึ้น และมาช่วงเดือนเมษา - สิงหานะคะ
ลั้นลากันแล้วล่ะค่ะ ได้เห็นทุกอย่างที่คาดหวัง ^______^

แต่แล้วระหว่างมุ่งหน้ากลับท่าเรือ เราก็เห็นเรือ ๒-๓ ลำ ลอยลำอยู่ คนเรือของเราวกเรือเข้าไปทันที กวาดตามองอยู่แป๊บนึง
กรี๊ดดดดดดดดดด โลมาค่ะ หลายตัวเลย แล้วมีเจ้าโลมาสีชมพูด้วย เขาว่ายกันอยู่ไกลๆ แล้วประเดี๋ยวก็ว่ายมาอยู่ตรงหน้าเรือเรา แล้วก็อ้อมเป็นวงกลมกลับไปที่ทะเลด้านนอก
อิ่มเอมเปรมใจมากกกกกกกค่ะ  ยิ้มกันไม่หุบเลย ตะละคน :)

ระหว่างนั่งเรือกลับ เช็คกล้อง เช็คมือถือกันให้วุ่นเลยว่า ใครจะจับภาพโลมาได้บ้าง ป้าน่ะโชคดี ได้รูปถ่ายมา ๒ รูปตามที่ลงให้ดูนี้ล่ะค่ะ นึกชมคนที่ถ่ายสวยๆแล้วโพสต์ลงเน็ตให้เราดูว่า ช่างสามารถอะไรปานนั้น เพราะเรือเองก็โคลงเคลง โลมาเองก็ว่ายไปมา โล่ขึ้นมาแล้วก็ดำลงไป เราไม่รู้ว่าเขาจะโผล่มาอีกทีตอนไหน และ ตรงไหน
ป้าเอง เวลาเห็นถึงกะลุกขึ้น มือนึงเกาะเสาเรือ มือนึงถือกล้อง ไม่ฟังเสียงน้องๆเตือนว่า ระวังตกเรือ อิอิ พยายามถ่ายด้วยกล้องแล้ว ตอนหลังใช้มือถือถ่ายคลิป เพราะคิดว่าน่าจะง่ายกว่า แต่ ตาไม่ได้อยู่ที่หน้าจอมือถือหรอก นู่นนน ตาอยู่ที่ทะเล(เพราะกลัวไม่ได้เห็นโลมา อิอิ) แล้วหันมือถือตามหน้าไป ก็เลยได้คลิปมาบ้าง แบบนี้ (ถ้ามีครั้งต่อไป รู้ล่ะ ต้องเอามือถือขึ้นมาไว้ที่ระดับหน้า น่าจะดีกว่านี้ ^^)

คลิปโลมาที่เห็นรอบแรก ถ่ายด้วยกล้อง


คลิปโลมารอบสอง ถ่ายจากมือถือ ตัดคลิปไม่เป็น 
(แล้วทำงัยให้มันใหญ่กว่านี้ได้อะ มองแทบไม่เห็นเล้ยย)


ติดใจสงสัยเรื่องสีของโลมา ว่าเค้าอยู่กันหลายตัว ทำไมสีเทาบ้าง ชมพูบ้าง ลองหาอ่านดู ถึงได้รู้ว่า เป็นโลมาพันธ์หลังค่อม ซึ่งพอเริ่มแก่ ก็จะเปลี่ยนสีจากสีเทาเป็นสีชมพู..คงคล้ายๆกับเราที่สีผมเปลี่ยนจากดำเป็นขาว...กระมังคะ ;)
ข้อมูลจาก www.siamfreestyle.com ตามนี้ค่ะ
เรามา ทำความรู้จักกับเจ้าบ้านที่น่ารักกันสักนิด โลมาพันธุ์นี้มีชื่อว่า โลมาหลังค่อมอินโด-แปซิฟิก(Indo-Pacific Humpback dolphin) มีชื่อภาษาละตินว่าเซาซ่า ไชเนนซิส (Sousa chinensis)มีลำตัวกลมยาว ใต้ท้องมีสีอ่อน โหนกเรียวยาว มีครีบหลังเอียงลาดไปทางด้านหลัง มีปากเรียวยาวคล้ายโลมาปากขวด เมื่อดำน้ำปลายหางจะชูขึ้น แรกเกิดยาวประมาณ 1 เมตรหนักประมาณ 25 กิโลกรัม โตเต็มที่จะยาวราว 2.5-3 เมตร หนักประมาณ 150-200 กิโลกรัม ปกติเป็นสัตว์ที่ว่ายน้ำไม่เร็วนัก ชอบแสดงพฤติกรรมเหนือผิวน้ำหลายๆอย่าง เช่นกระโจนขึ้นจนพ้นน้ำแล้วสะบัดหาง หรือตะแคงตัวว่ายน้ำแล้วโบกครีบข้างลำตัว ที่พบเห็นที่นี้มักจะมีสีเทา เทาอ่อนจนเกือบขาว โลมาชนิดนี้เมื่อมีอายุมากขึ้นสีลำตัวจะจางลงจนเห็นเป็นสีชมพู ซึ่งเป็นที่มาของโลมาสีชมพูที่เราอยากไปเยี่ยมเยือนถึงบ้านที่ ท้องทะเลขนอม
ระยะนี้การออกไปท่องเที่ยวชมโลมาในทะเลกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก นักท่องเที่ยวที่ออกไปต่างมีความหวังที่จะได้ชมโลมา ชาวเรือที่นำเที่ยวก็อยากให้ลูกทัวร์ได้เห็น ซึ่งอาจใช้วิธีที่ผิดๆได้ เช่นถ้าไปกันหลายลำก็ใช้เรือล้อมฝูงปลาเอาไว้ การเข้าใกล้ตัวปลาเกินไปก็เป็นการรบกวนทำให้ปลาเครียดได้ ไม่ควรเข้าใกล้เกินกว่า 50 เมตร การให้อาหารแก่โลมาก็จะทำให้ความสามารถในการหาอาหารตามธรรมชาติลดลง นักท่องเที่ยวมีส่วนช่วยได้ด้วยการที่ไม่กำหนดว่าจะต้องได้เห็นโลมาเท่านั้น ชาวเรือก็ต้องไม่ใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องกับโลมา ขอให้เราเข้าใจว่าโลมาเหล่านั้นอยู่ในทะเล ไม่ได้อยู่ในสระน้ำ เราอาจไม่ได้พบมันก็ได้ การที่เราออกเรือไปถึงบ้านของโลมาก็เป็นประสบการณ์ที่มีค่ายิ่ง และทะเลขนอมก็ยังมีดีอีกมากให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมตลอดทริปท่องทะเล
หรือเพิ่มเติมอีกตามนี้

พวกเรานั่งยิ้มกริ่มกลับมาที่ท่าเรือ ช่วยกันอุดหนุนสินค้าที่ระลึกเป็นการกระจายเม็ดเงินสู่ชุมชนกันหน่อย ที่จริงแล้ว ส่วนตัวเห็นว่าพวกเสื้อยืดตุ๊กตาไม่น่าสนใจเท่าของพื้นบ้าน หรือ พวกอาหารหรอกนะคะ ได้ซื้อปลากรอบ (หรือเขาเรียกปลาเค็ม ปลาแห้ง ไม่รู้เหมือนกัน) เป็นปลาอะไรไม่ทราบ ตัวเล็กๆขาวๆ เขาทอดไว้ให้ชิม ไม่เค็มมาก อร่อยดี มีวางอยู่ ๖-๗ ถุง เลยเหมามาทั้งหมด แล้วเขาให้ชิมมันกุ้ง เอามะม่วงเปรี้ยวๆมาจิ้ม อร่อยดี คล้ายๆกะปิหวาน เขาว่า เอาไว้ผัดข้าวก้ได้ เอ้า เอามาด้วย หมดไปกี่ร้อยบาทหรอกค่ะ แต่ตลกมาก เจ้าตัวเล็กที่ช่วยแม่ขายของ บอกให้แม่ปิดร้านได้เลย ไม่ขายต่อแล้วเหรอลูก สงสัยอยากไปเล่นเต็มทีแล้ว ^^
จะกระซิบว่า ปลากรอบนั่นอร่อยมากค่ะ ใครไปเที่ยว ซื้อกลับมาเถอะ ไม่ผิดหวังหรอก แต่มันกุ้งนั่น กลับมาบ้าน ทำไมไม่อร่อยเท่าตอนชิมที่นั่น ไม่รู้

เท่าที่สังเกต ชุมชนบ้านแหลมประทับนี่ ค่อนข้างเข้มแข็งและกลมเกลียวดี ตอนเรามาเช่าเรือ ก็ไม่มีอาการแย่งกัน เหมือนรู้คิวกัน หรือเขาแบ่งผลประโยชน์กันลงตัวก็ไม่รู้ เวลาชวนซื้อของ ก็ไม่เซ้าซี้ มีคำพูดคำจาที่ฟังแล้ว โอเค รับได้ ที่สำคัญ ชาวบ้านอัธยาศัยดีกันทั้งนั้นค่ะ ชอบ ^^ เลยจะประชาสัมพันธ์ให้เขาหน่อยว่า เขามีบริการ Home Stay ด้วยนะ กิจกรรมที่ทำนอกจากที่ป้านั่งเรือไปดูอะไรต่ออะไรที่เล่ามาแล้ว เขายังมีกิจกรรม ไปตกปลาทราย ลากอวนปลากระบอก เจาะหอย ?? จับกุ้งด้วยมือเปล่า(อันนี้น่าลองอะ) ซึ่งกิจกรรมต่างๆ อาจต้องเช็คนะคะว่าเดือนไหนทำอะไรได้บ้าง ติดต่อที่กลุ่มท่องเที่ยวบ้านแหลมประทับ ต.ท้องเนียน อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช นะจ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นครศรี..ที่..เขารามโรม ๔ (๖ พค. ๕๕ ลงเขา เที่ยวน้ำตก นอนทะเล)

ยังค่ะ...ทริปของเรายังไม่จบง่ายๆ ลงจากเขารามโรมแล้ว เป้าหมายต่อไปของเรา คือ ขนอม ไปลุ้นว่าจะได้เห็นโลมาสีชมพูกันค่ะ ^^

ลงจากเขามาแล้ว ให้รู้สึกร้อนขึ้นมา ทั้งที่วันนี้แดดไม่จัด หาข้าวทานกัน แล้วกลับไปอาบน้ำที่บ้านน้อง (สำหรับคนที่ไม่ยอมอาบน้ำเย็นและเช้าที่ผ่านมา หึหึ) ร่ำลาคุณป๊าแล้วออกเดินทางไปขนอม..มีเวลาอยู่มาก เลยแวะเที่ยวรายทางไปโดยไม่มีแผน แถวนี้มีน้ำตกหลายแห่ง เราเลือกจะไปน้ำตกพรหมโลก ที่ได้ยินว่าเป็นน้ำตกใหญ่ และสวย แต่เข้าใจว่าน้องจะเลี้ยวรถผิดทาง เพราะมีการจอดรถลงไปถามคุณป้าข้างทาง ^^  คุณป้าชี้ให้ไป น้ำตกกะโรม ที่อำเภอลานสกาก่อน เพราะใกล้จะถึงแล้ว

เห็นรูปไหมคะ เมืองไทยนี้น่าเที่ยวนะ ถนนดีๆตลอดทาง  ส่วนกล้วยนั่น กล้วยอะไรไม่รู้ ลูกเบ้อเร่อเลย คล้ายกล้วยหักมุกอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้ชะโงกไปถามคุณป้า เกรงว่าจะต้องมีการแปลไทยเป็นไทยกันให้เหนื่อยอีก


น้ำตกกะโรม อยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาหลวง มีชั้นน้ำตกทั้งหมด ๑๙ ชั้นด้วยกัน แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ชม เพียง ๗ ชั้น แต่ละชั้นมีชื่อเรียกต่างๆกันไป ชั้นแรก เรียก “หนานผึ้ง” ชั้นที่ ๒ เรียก “หนานน้ำราง” ชั้นที่ ๓ เรียก “หนานดาดฟ้า” เป็นต้น ตอนอยู่ที่นั่นไม่รู้สึกอะไร แต่มาตอนนี้แปลกใจ ว่าทำไมจึงใช้คำขึ้นต้นว่า “หนาน”หมด เปิดพจนานุกรมออนไลน์ดู เขาก็บอกแต่ว่า “หนาน เป็นภาษาถิ่นพายัพ เรียกผู้สึกจากเพศภิกษุ" ทำนองเดียวกับคำว่า "ทิด"นั่นแหละค่ะ แล้วทางใต้จะใช้คำว่า “หนาน” นี้ หมายถึงอะไร คิดหาคำใกล้เคียงก็ยังคิดไม่ออก 
search net อยู่พักนึง ถึงได้เจอคนอธิบายว่า คำว่า "หนาน" นี้ ภาษาใต้ หมายถึง ชั้น หรือ น้ำตก นี่เอง


จากป้ายที่เห็นนี่ มีทางเดินเข้าไป ซึ่งได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ด้านล่าง น้ำตกจะอยู่ทางซ้ายมือเรา แป๊บนึงเราก็ไปโผล่ตรงลานหิน เป็นชั้นน้ำตกเล็กๆที่มองวิวเห็นภูเขาอยู่ไกลลิบๆ สวยดี ถ่ายรูปกันดีกว่า..เนอะ


ยังไม่ทันได้ทำอะไรเท่าไหร่เลย คุณพี่เจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่า ให้กลับเข้ามา อันตรายๆ :p แล้วคุณพี่ก็ชี้ทางเดินชันๆให้ไปต่อ ว่าให้ขึ้นไปดูชั้นข้างบนๆ มีพระปรมาภิไธยย่อ จ.ป.ร และ ว.ป.ร ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 จารึกไว้บนหน้าผา สมัยทรงเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ เคยเสด็จไปประทับทอดพระเนตรและทรงจารึกพระปรมาภิไธยย่อ (แต่จำไม่ได้ว่าชั้นไหนนะคะ) 

เราเดินกันมาสักพัก ท่าทางตะละคนดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรงกันทั้งนั้น มาถึงชั้นน้ำตกตรงนี้ ชั้นที่เท่าไหร่ไม่รู้ ก็ลงพักนั่งนอนกันแล้ว เหลือคนเก่งคนเดียวที่ขึ้นไปชมข้างบน เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้ขึ้นไปเห็น แถมลืมฝากกล้องน้องเขาขึ้นไปถ่ายด้วย
ก็รู้ตัวอะ ว่าป้าเป็นคนไม่ใฝ่สูงค่ะ ให้เดินขึ้นจะเดินไม่ไหว ฝืนแรงโน้มถ่วงของโลกมากไป ก็อาจจะเดือดร้อนชาวบ้านเขา ด้วยอาจเป็นลมได้ ^^ (แต่ถ้าแนวราบ เท่าไหร่เท่ากันนะ)


นอกจากคุณพี่ที่เดินมาบอกเราไม่ให้ออกไปที่โขดหิน ว่าอันตราย เขายังมีป้ายปักเตือนไปทั่ว ห้ามออกไปตรงนั้นตรงนี้ แต่ใครจะเชื่อล่ะ อย่างตรงที่เรามานั่งเล่นกัน เขาก็มีป้ายเตือน แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ เราก็เลยออกมานั่งเล่นได้ อิอิ
โธ่ ใครๆมาน้ำตก ก็อยากจะนั่งเอาเท้าแช่น้ำ เล่นน้ำกันทั้งนั้น จริงไหม แต่น้องคนใต้บอกว่า เขาเตือนเพราะเป็นทางน้ำ เขาห่วงเวลาน้ำป่ามาแล้วจะหนีไม่ทัน เราก็นึกถึงตอนดูข่าวน้ำท่วมภาคใต้ปีก่อน ก็พอเข้าใจละนะ แต่นี่ฝนยังไม่ตกนี่นา ขอหน่อยน่า...



พอหายเหนื่อย กลับออกมา นั่งกินน้ำให้คลายร้อนก่อนจะออกเดินทางต่อ ปรากฎว่า มีแขกมาเยี่ยม จะขอกินน้ำด้วยหรือไร ขนาดยกน้ำมาดื่ม เธอยังจะเกาะอยู่อย่างนั้นแหละ แปลว่า เหงื่อป้าเค็มเอาจริงเอาจัง ๕๕๕๕
ขออกว่า ตอนที่เธอเกาะอยู่นั้น จะรู้สึก จิ๊กๆๆๆๆ เหมือนเธอเอาขาหรือหนวดขุดเนื้อเราอยู่งั้นแหละ จั๊กจี้นิดๆค่ะ ^^

แล้วเราก็ไปต่อที่น้ำตกพรหมโลก ฟ้ามืดเชียว ฝนจะตกมั้ยนี่.....จนเลี้ยวเข้าทางเข้าน้ำตก ก็มั่นใจได้ว่าตกแน่ เพราะฝนตกแล้ว ๕๕๕๕ งงมั้ย ฝนตกหนาเม็ดทีเดียว แล้วเราจะได้เห็นมั้ยนี่
ทางเข้าไปน้ำตกพรหมโลก ด้านขวาเป็นธารน้ำ กว้างพอควร มีชาวบ้านมาตั้งร้านขายอาหาร และให้เช่าห่วงยางสำหรับเล่นน้ำ เต็มไปหมด 
เราเข้าไปจอดรถ รอฝนหยุด มองไปเห็นนักท่องเที่ยวมายืนหลบฝนตรงที่ร้าน หรือ ที่ทำการกันแน่นไปหมด รอสักพัก ดูท่าทีว่า ฝนจะไม่หยุดเอาน๊า..เอางัยดี น้องจากรถอีกคัน กางร่มลงมาถาม 
ป้าก็งง มัยไม่โทร จะได้ไม่เปียก  อ๋อ...น้องจะมาชวนกางร่มเข้าไปดู ไหนๆก็มาถึงแล้วนี่ เอา..ได้เลย เรื่องเที่ยวนี่ ป้าตุ่มไม่ถอย (ยกเว้นปีนขึ้นที่สูง อิอิ)  ตกลง ป้ากางร่ม เดินเท้าเปล่า เข้าไปดู (ก็ฝนตก น้ำท่วมเจิ่งนองพื้นแล้วนี่ เดี๋ยวรองเท้าเปียก) 
เจ็บเท้าอะ :(   พื้นบางช่วงเป็นหินเม็ดเล็กๆ โชคดีว่า น้ำตกอยู่ไม่ไกลจากลานจอดรถเท่าไรนัก  น้ำตกพรหมโลกนี้ ใหญ่ทีเดียว เสียดาย ฝนไม่น่าตกเลย 

 ทำตัวเป็นนางงามกางร่มไปเชียว อิอิ

เราไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านี้แล้ว เพราะดูท่าฝนคงจะตกไปเรื่อยๆ จึงตัดสินใจไปขนอมเลย เพราะเจ้าถิ่นที่นั่นโทร.ตามหลายรอบแล้ว ไปทานข้าวที่ขนอมกันเถอะค่ะ
(ตกกลางคืน เราได้ข่าวน่าสลดใจ คือ พ่อลูกไปเล่นน้ำที่น้ำตกท่าหา อ.ลานสกา ไม่ไกลจากน้ำตกพรหมโลกสักเท่าไหร่ ระหว่างเล่นน้ำ ฝนตกแล้วมีน้ำป่าหลากลงมา ลูกหนีไม่ทัน พ่อโดดลงไปช่วยลูก แต่สู้ความแรงของน้ำไม่ได้ จึงเสียชีวิตทั้งสามคน โธ่...ฟังแล้วอึ้ง ขอให้ไปดีเถอะนะคะ
ฟังไว้เป็นอุทาหรณ์นะคะว่า อันตรายมีรอบตัว ขอให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเข้าไว้ ป้าเองก็นึกถึงป้ายเตือนที่น้ำตกกะโรมว่า เราก้ไม่เชื่อเขา ถ้าเกิดเหตุน้ำป่ามาจะเป็นอย่างไรกันหนอ เฮ้อออ)

เพิ่มข้อมูลให้ค่ะ น้ำตกพรหมโลก เป็นน้ำตกที่มีจำนวนชั้นทั้งหมด 50 ชั้น แต่มีเพียง 4 ชั้นเท่านั้นที่เปิดให้ท่องเที่ยวได้ นั่นคือ หนานบ่อน้ำวน หนานวังไม้ปัก หนานวังหัวบัว และหนานวังอ้ายแล น้ำที่ไหลผ่านชั้นน้ำตกกระทบกับชั้นก้อนหิน ก่อให้เกิดเสียงแห่งธรรมชาติที่ก้องกังวานไปทั่ว สายน้ำนี้จะไหลผ่านหมู่บ้าน ลงสู่คลองท่าแพ และบรรจบที่แม่น้ำปากพูนที่อ่าวไทย 
     นอกจากนี้แล้ว ในปี พ.ศ. 2502 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระ บรมราชินีนาถ ได้เสด็จประพาสน้ำตกแห่งนี้ และทรงจารึกพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร.และ ส.ก.ไว้ที่หน้าผาน้ำตกชั้นที่ 1 (หนานวังน้ำวน) 
(ข้อมูลจาก www.thaiza.com)



v
vv
vvv
vvvv
vvvvv
ขนอม...และแล้วเราก็มาถึง...ขนอม...ที่เราจองบ้านพักไว้ ๒ คืน แต่ก่อนจะเข้าบ้านพัก เราแวะมาทานข้าวบ้านน้องชายกันก่อน น้องถามมาเมื่อวานว่า พี่อยากกินอะรัย พี่นึกไม่ออก แม่ทำรัยก็อร่อยทั้งนั้นแหละ ครั้งที่แล้ว เมื่อสองปีก่อน พี่กินซะจน ต้องขอหมอนมานอนเอนหลัง อิอิ แต่แม่ก็ว่านึกไม่ออกว่าจะทำรัย พี่เลยขอแกงส้มสักชามเถอะ มาใต้ไม่ได้กินแกงส้ม งัยๆอยู่นา

แล้วนี่ล่ะค่ะ ที่รอเราอยู่...แกงส้ม น้ำพริกผักต้มและชะอม ปลาทอด ต้มจืดปลาหมึกยัดไส้..ขอบอกว่า แกงส้มร้านที่ว่าแน่ๆ ไม่ว่าจะสุราษฎร์ หาดใหญ่ มาเจอฝีมือแม่ ชิดซ้ายไปเลย...
ครอบครัวชาวขนอมที่น่ารัก

อิ่มแล้ว นอนผึ่งพุงกันเล็กน้อย ก็เข้ามาที่รีสอร์ทที่จองไว้ ครั้งนี้เราจะพักกันที่ "บ้านศิวิไลซ์" ดูรูปในเน็ตแล้วดูดี ของจริงก็ใช้ได้ มีสระว่ายน้ำอยู่ตรงริมห้องพักเลยล่ะค่ะ...ฟ้าสวยไหมคะ เย็นนี้
ที่บ้านศิวิไลซ์นี้ มีห้องพักไม่กี่ห้องหรอกค่ะ เป็นรีสอร์ทเล็กๆ เงียบๆ ที่พัก ห้องน้ำ สะอาดสะอ้านดี มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบทุกอย่าง ได้เจอคุณเจ้าของตอนกลางคืน คุยกันพบว่าทำรีสอร์ทมาหลายแห่งแล้ว ท่าทางเธอมีความสุขกับงานดีจัง

คืนนี้ แรม ๑ ค่ำ พระจันทร์สวย ที่ปลายหาดเขาจัดงาน Ample Moon Party (ถ้าจำชื่อไม่ผิดนะคะ) แต่เราไม่ได้ไปหรอกค่ะ เพราะอยากจะ chill chill กันมากกว่า (..ไม่ได้แปลว่า "แก่" นะคะ ^^)
เจ้าถิ่นบอกว่า เดี๋ยวนี้ Full Moon Party ที่เกาะพงันคนเริ่มไปน้อยลงแล้ว และเริ่มมาเที่ยว Ample Moon Party ที่ขนอมกันมากขึ้น
นั่นสินะ ขนอมเมื่อ ๒ ปีก่อน ดูจะสงบ และเป็นฝรั่งน้อยกว่านี้ มาครั้งนี้เห็นมีห้องอาหารฝรั่งหลายแห่งมากขึ้น รีสอร์ทก็มีมากขึ้น ทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ คิดว่า อีกไม่กี่ปีข้างหน้า คงจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของนครศรีธรรมราชล่ะ เพราะหาดสวย ทรายสะอาด น้ำทะเลที่นี่ ใส และไม่เหนียวตัวด้วยค่ะ

ทางรีสอร์ทเปิดเพลงเพราะๆให้ฟังจนถึงสี่ทุ่ม ต่อจากนั้นก็ฟังเพลงจาก Ample Moon Party ลอยตามลมมา พร้อมๆกับชมจันทร์สวยๆ อยู่กับน้องๆที่น่ารัก แค่นี้...ชีวิตก็สุขพอแล้ววว  ^_______^

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นครศรี..ที่..เขารามโรม ๓ (สดชื่น รื่นเริงบนเขารามโรม)

เมื่อลงจากรถมาแล้ว ลมเย็นๆพัดมาสัมผัสหน้า มีละอองหมอกเห็นเป็นไอจางๆ สดชื่นมากกกก  ขอบอก !!!
เราช่วยกันขนของเข้าบ้าน บ้านหลังนึงมีเตียง ๒ เตียง หมอน ๓ ใบ ผ้าห่ม ๓ ชุด ดูๆแล้วสะอาดสะอ้านดี ห้องน้ำ..เขารองน้ำไว้ให้ ๒ ถังใหญ่ๆ แต่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นนะคะ
บริเวณนั้นมีบ้านหลายหลัง ที่เราจะพัก เป็น ๒ หลังที่อยู่คู่กัน แล้วมีกระจัดกระจายห่างๆกันออกไปอีก น่าจะรองรับนักท่องเที่ยวได้มาก ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องน้ำ  นี่ค่ะ รูปบ้านที่พัก


ส่วนอาหารขนมาวางไว้ที่ระเบียงชมวิว กะว่าเราจะทานข้าวเย็นที่นี่กัน กินข้าวเคล้าสายลมแสงจันทร์ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ขึ้นมาด้วย เข้าไปดูแลเรื่องน้ำ ไฟ แล้วช่วยต่อโยงสายไฟออกมาให้ที่ระเบียงชมวิวด้วย ได้ยินคุยกันกับน้องๆ ว่าทานข้าวตรงนี้ได้ แต่ให้ระวัง...ระวังอะไรสักอย่างฟังไม่ทัน หันไปถาม เขาส่งยิ้มมาพร้อมบอกว่าให้ระวังม้าจะมาคุ้ยอาหารไปกิน
เอ๋อ.. (0,0)' บนนี้มีม้าด้วยเหรอ อึ้ง คิดอยู่ในใจแว๊บนึง ถึงได้ปิ๊งๆขึ้นมาได้ว่า..หมาน่ะ หมา  ๕๕๕๕


เก็บของเสร็จก็ไปกันเถอะ ป้านะ ใจริกๆจะขึ้นไปชมวิวข้างบนแล้ว ต้องเดินขึ้นไปอีกไม่ไกล ไม่ถึงกิโล น่าจะสัก ๕-๖๐๐ เมตร (ป้าถึงเดินไหว อิอิ)
ดูบรรยากาศตอนบ่าย ๔ โมงสิคะ หมอกลงแล้ว อากาศเย็นสบายจริงๆ ใครจะคิดว่าจะมาเจออากาศแบบนี้ ในประเทศไทย ตอนเดือนพฤษภาคม ป้าอยู่กรุงเทพ ร้อนจนแสบผิวทุกวัน มาเจออากาศดีๆที่นี่ จึงดี๊ด๊ามากเป็นพิเศษ แล้วก็รู้สึกว่าอากาศที่นี่บริสุทธ์มาก
สำหรับยามในรูปตัวนั้น ทำหน้าที่ดีมากค่ะ เข้าใจว่าเธอจะประจำการอยู่ที่สถานี ช่อง ๕ เธอคอยเฝ้าดู และเตือนพวกเราเวลาเดินผ่านทุกครั้ง ว่าอย่ารุ่มร่าม !


สองข้างทางจะมีต้นไม้เขียวชอุ่ม หน้าตาแปลกๆ โดยเฉพาะ"ต้นมหาสดำ"  ในภาพข้างล่าง จะเห็นต้นมหาสดำอยู่ทางขวามือ ที่สูงๆคล้ายๆมะพร้าวน่ะค่ะ ส่วนด้านซ้ายสังเกตเห็นเสาส่งสัญญาณโทรทัศน์ ๒ เสาไหมคะ น่าจะพอเห็นเสานึงรางๆ เข้าใจว่าของช่อง ๓ ส่วนของช่อง ๙ อยู่ถัดเข้ามากลางภาพ

ดูต้นมหาสดำให้ชัดๆ สวยนะคะ ต้นมหาสดำเป็นต้นไม้ในตระกูลเฟิร์น เป็นไม้โบราณเกิดขึ้นมาเมื่อหลายร้อยล้านปีแล้ว เขาว่าเป็นอาหารของไดโนเสาร์นะ ปัจจุบันหายาก จะพบแต่ในป่าดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น ป้าเคยเห็นมาก่อนครั้งเดียว ที่ป่าแถวนบพิตำ กรุงชิง ก็..เทือกเขาหลวง เทือกเขาเดียวกับเขารามโรมนี้แหละค่ะ แต่ได้ยินว่าป่าทางภาคเหนือก็มีอยู่ค่ะ  (ว่างๆจะไปหยิบเพชรพระอุมามาอ่านใหม่ อยากรู้ว่าป่าดงดิบที่คุณรพินทร์พาคณะนายจ้างไปเจอไดโนเสาร์นั้น มีต้นนี้มั้ย ^^)


ไม่ได้มีอะไรพิเศษกับช่อง ๓ นะคะ แต่เป็นสถานีแรกที่เดินถึง เลยหยุดพักถ่ายรูปแก้เหนื่อยน่ะค่ะ คริคริ พอขึ้นไปถึงสถานีช่อง ๗ ซึ่งอยู่สูงสุด ยืนดูตรงจุดชมวิว ปรากฎว่าหมอกเต็มไปหมด เราเลยถ่ายรูปเล่นกันไปก่อน สักพัก ฟ้าจึงเปิด  โอยยยแม่เจ้า โชคดีของเราจัง สวยยยยยย




จุดชมวิวนี้ ที่จริงมีอยู่บริเวณหน้าสถานีโทรทัศน์ ช่อง ๗ แต่เขาใจดีให้เราขึ้นไปบนดาดฟ้าของเขาได้ จะเห็นชัดกว่า แล้วบนดาดฟ้าเขา ก็ยังมีหลังคาห้องดาดฟ้าที่ต้องไต่บันไดขึ้นไปอีก ป้าก็หาเรื่องใส่ตัว ลองปีนดู ขาขึ้นก็แบบขาสั่นๆ ขึ้นไปแล้ว ต้องรีบนั่ง เพราะลมแรงมากกกกกก เริ่มคิดว่า ตูจะปีนขึ้นมาทำไมฟระ >"< แล้วจะลงยังงัยล่ะ กลัวอะ ร้อนถึงน้องๆต้องปีนขึ้นมาเป็นเพื่อน ขาไต่บันไดลง ยิ่งน่ากลัวกว่าตอนขึ้นอีก ไม่ควร..ไม่ควรจริงๆ..

ถ่ายรูป ชมวิวกันจนหนำใจแล้ว เราก็ค่อยๆกลับมาบ้านพัก ลมเริ่มแรงขึ้น อากาศก็เย็นลง ทำรัยดีล่ะ จะอาบน้ำดีมั้ย แต่น้ำในถังเย็นเจี๊ยบเลย ขนาดยังไม่ ๖ โมงดีเลยนะ  มองหน้ากันไปมา เอ้า ซักก็ซักด้วยกันนะ...ซักแห้งน่ะค่ะ หุหุ


อากาศมันหนาวอะ ไม่ได้เอาเสื้อหนาวมาด้วย น้องเขาบอกล่วงหน้าแล้วว่า ให้เตรียมเสื้อหนาวมา อากาศสิบกว่าองศา แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้ (ขี้เกียจหิ้วมาให้หนักเองแหละ ไม่ใช่อะไรหรอก)
คิดว่าอุณหภูมิน่าจะประมาณ ๑๕ องศาได้กระมัง แถมลมแรงอีก  บรื้ออออ (แถวบ้านพักสัญญาณโทรศัพท์อ่อนมาก สัญญาณเน็ตไม่มีเลย ไม่งั้นจะเช็คดูว่ากี่องศา)

เมนูอาหารเย็นค่ะ คั่วกลิ้ง หมูคั่วเค็ม ไก่ต้มขมิ้น...หร้อยมากค่า บรรยากาศการกินก็สนุก ต้องห่มผ้าใส่หมวกกินข้าว (สม! อยากไม่ติดเสื้อหนาวมา) แล้วต้องจับช้อนกะจานเอาไว้ตลอด ไม่งั้นปลิวค่า ๕๕๕๕ แก้วน้ำ พอน้ำหมด วางปั๊บ กลิ้งหลุนๆๆๆ ต้องคอยตามเก็บ ฉะนั้น ไอ้ที่คิดว่าจะนั่งกินข้าว ชมจันทร์ไปเรื่อยๆ ต้องเปลี่ยนแผน เป็นหอบของกลับไปที่บ้านพักแทน (หมายถึงถ้วยกระดาษนะคะ ไม่ใช่ถ้วยแก้ว เพราะถ้วยแก้ว เขาเอาไว้กินน้ำสี ส่วนน้ำเปล่าเค้าให้กินกับถ้วยกระดาษ ^^)


แล้วก็ต้องหามุมที่ลมไม่พัดเข้าบ้าน เปิดประตูรับอากาศ ตัวนั่งกันอยู่ในบ้าน จะได้ไม่หนาวมาก คืนนี้อากาศโปร่ง มองไปเห็นแสงไฟวิบๆที่ตัวเมืองทุ่งสงได้ด้วย
นั่งคุยกันเพลินๆ เผลอแป๊บเดียว จะเที่ยงคืนแล้ว ตั้งใจจะออกมาดูพระจันทร์ตอนห้าทุ่มเศษๆ เพราะเป็นช่วงที่พระจันทร์ใกล้โลกที่สุด คืนนี้ เป็นคืน Super Moon ค่ะ พระจันทร์สว่างมากทีเดียว


ขอจันทร์...

ชมจันทร์กันแล้ว กลับมานั่งคุยกันต่อให้ท้องร้อง น้องเลยจัดการทำข้าวต้มไก่ ใช้น้ำซุปจากไก่ต้มขมิ้นนั่นแหละ อร่อยจริงๆ ข้าวต้มร้อนๆ อากาศเย็นๆ อิ่มแล้ว...หลับสบาย
z.....
zz.....
zzz.....
zzzz.....
zzzzz.....



ลืมตาตื่นมาประมาณ ๖ โมงเศษๆ เห็นแสงสว่างสอดลอดช่องกรอบประตูเข้ามา เลยกระวีกระวาดลุกขึ้น โผล่หน้าออกไปดู วิวนี้แหละค่ะ ที่ได้เห็นตรงหน้าห้องพัก (ช่างต่างจากวันทำงานจริงๆ ที่พอตื่นแล้ว ก็จะบอกตัวเองว่า ขออีกครึ่งชั่วโมงน๊า...)

เช้านี้ ลมไม่แรง ล้างหน้าแปรงฟันออกมานั่งชมวิวที่ระเบียงนิ่งๆ  ...ว่าง...ดีจังค่ะ

หลังจากที่กินกาแฟกันเรียบร้อย เราก็เดินขึ้นไปดูฟ้ากันอีกรอบ เพื่อที่จะพบว่า ลมไม่แรงนี้ ทำให้เราเห็นแต่หมอกขาวไปหมด ฟ้าไม่เปิดน่ะค่ะ

ถ่ายรูปเล่นกันไปเรื่อยๆ เพราะถึงฟ้าไม่เปิด แต่อากาศแบบนี้ ก็หาไม่ได้ในเมืองหรอกน๊า

หนุ่มๆออกกำลังกายตะเช้า ^_____^


พอสาย ฟ้าก็จะเริ่มเปิดขึ้นมาหน่อย ทางสถานีช่อง ๗ เขาก็น่ารัก ลุกมาเปิดประตูให้เราขึ้นไปดูวิวบนดาดฟ้าเขาตะเช้าด้วย ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์...ขอบคุณนะคะ

หอบขาตั้งกล้องมาจากกรุงเทพ...ใช้ซะหน่อย อิอิ ทั้งทริปได้ใช้แค่นี้แหละ


เรานัดเขาให้ขึ้นมารับประมาณ ๙ โมงเช้า เลยกลับลงมาเก็บของ ไม่รอฟ้าเปิดแล้ว เพราะคงจะต้องสายๆ ฟ้าที่ได้เห็นเมื่อวาน กับอากาศแบบนี้ ก็คุ้มแล้ว กับการดั้นด้นมา
มีเวลาเหลือ ป้าเลยตัดสินใจลองอาบน้ำสระผมดู ก็แหม..เขาอุตส่าห์รองน้ำไว้ให้ใช้ เราก็ควรจะฉลองศรัทธาเขาสักหน่อย ขนาดจะ ๙ โมงแล้ว น้ำยังเย็นเชี๊ยบบบบบ อาบแล้วเลือดลมสูบฉีดเชียว ๕๕๕๕

อา...ถึงเวลาต้องกลับลงไปแล้ว ถ่ายรูปหมูๆเป็นที่ระลึกกันสักหน่อย เรามีความสุขกันที่..เขารามโรม..เนาะ ^^

และอากาศดีแบบนี้ ไม่นั่งในรถแล้ว ท้ายกระบะดีกว่า เห็นวิวชัดด้วย

ถ้าใครไม่รังเกียจบ้านพักธรรมดาๆ ไม่หรูหรา ยอมลำบากกับการเตรียมของขึ้นมาหาทานกันเอง ไม่มี room service ไม่มี Internet  ก็อยากให้ลองขึ้นมาเที่ยวกันดูค่ะ
เราอาจไม่ได้เห็นวิวสวยสุดใจของทะเลหมอก เพราะเป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่ไม่สามารถกดปุ่มเปิดปิดตามใจเราได้ แต่อากาศดีๆ บริสุทธิ์ๆแบบนี้  กับต้นไม้ใบหญ้าหน้าตาแปลกๆ  และวันเวลาที่ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องถูกเร่งเร้าจากสิ่งรอบข้าง..มีเวลาให้กับคนข้างๆมากกว่าปกติ แค่นี้ก็น่าจะคุ้มค่าการเดินทางแล้วนะคะ

ขอทิ้งท้ายเขารามโรมด้วยดอกไม้ใบหญ้าที่นี่ค่ะ (หากใครอยากเห็นภาพเขารามโรมสวยสุดใจ ลองแอดเป็นเพื่อน FB กับคุณ "เขารามโรม ร่อนพิบูลย์" ดูค่ะ)