วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

ไปไหว้พระ ในวันที่เบื่อกรุง...^^

เบื่อกรุง !!! ใช้ชีวิตเร่งรีบ หมกมุ่นกับงาน ผจญภัยการการจราจรเมืองหลวงมาร่วมเดือน เริ่มเกิดอาการทนไม่ได้ขึ้นมา ขอออกไปสูดอากาศนอกเมืองหน่อยเถอะ อยากไปไหว้พระเมืองสิงห์บุรี อ่างทอง ก็ไม่แน่ใจเรื่องน้ำท่วม (เดี๋ยวนี้ข่าวเยอะจัด แล้วไม่ค่อยตรงกัน เลยไม่รู้จะเชื่อข่าวไหนดี อิอิ) เลยจบลงที่อยุธยาเจ้าเก่า...ทำตัวเป็นแม่หญิงนกยูงไปได้ ผูกพันกับเมืองเก่านี้จริงหนอ

ตั้งใจว่า วันนี้จะไปวัดที่ไม่เคยไปบ้าง อยุธยามีวัดมากมาย เอาเข้าจริงไปอยู่ไม่กี่วัด ตกลงกันได้ ก็ออกเดินทางตอนสิบโมงกว่าๆ ฟ้าครึ้มๆพอให้หวั่นใจเล็กๆว่า เราจะเจอฝนบ้างมั้ย ขับไปคุยไปเรื่อยๆ ข้างทางบางช่วงเป็นนาข้าวสวยๆ(อีกแล้ว นาข้าวโฟเบีย !!) เริ่มออกรวงแล้วก็มี เริ่มเห็นเป็นแปลงสีเหลือง สลับกับแปลงสีเขียว สวย... ขับมาโผล่แถววัดกษัตราธิราช ข้ามสะพานไปดูเจดีย์พระศรีสุริโยทัย ที่อยู่ริมน้ำก่อน

วันนี้น้ำเต็มตลิ่ง เป็นสีแดง และไหลเชี่ยว ไม่แน่ใจว่าปีนี่น้ำจะท่วมไหม แต่ถ้าฝนตกหนัก แล้วมีน้ำเหนือมา จะให้ระบายไปไหน เมื่อแม่น้ำตอนนี้เปี่ยมขนาดนี้แล้ว

มองข้ามฝั่งมา เห็นวัดกษัตราธิราช ดูขาว สวย สะอาด ปรากฎว่าเพื่อนร่วมทางไม่เคยมา เลยย้อนข้ามสะพานกลับไป วัดนี้..เคยมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม จำได้ว่าโรงเรียนพามาทอดกฐินที่วัดนี้ หลังๆ ก็ผ่านมาเยือนบ้างเป้นครั้งคราว เป้นวัดที่สะอาด ไม่วุ่นวาย มีบริการร่มให้ใช้ระหว่างเดินไปตามจุดต่างๆของวัดด้วย

ที่ศาลาริมน้ำ เคยมาให้อาหารปลา ลมเย็นจนเกือบหลับ แต่วันนี้ ไม่ได้ให้อาหารปลา เพราะน้ำไหลแรงทีเดียว และอากาศอ้าวฝน ร้อนเอาการ

ขากลับตอนเอาร่มมาคืนตรงลานจอดรถ เจอป้ายนี้..สะดุดใจ จนอดถ่ายรูปมาไม่ได้

ท้องเริ่มร้อง เลยแวะทานข้าวที่ร้านวัชราชัย ข้างๆวัดนั่นเสียเลย ร้านนี้ชอบตรงต้นไม้เยอะ ร่มรื่น อาหารอร่อย เจ้าของร้านคือ ภริยาคุณแสงชัย สุนทรวัฒน์งัยคะ คงจะจำคุณแสงชัยกันได้นะคะ

พออิ่ม เราก็มุ่งหน้าจะไปวัดพุทไธศวรรย์ แต่ผ่านวัดไชยวัฒนารามก่อน ก็เลยลงไปชักรูปเป็นที่ระลึกสักหน่อย เขากำลังบูรณะฟื้นฟูความเสียหายจากน้ำท่วมปีที่แล้ว เลยอดเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
มองไปทางฝั่งแม่น้ำ เห็นก่อกำแพงสูง หวังว่าปีนี้คงจะไม่ท่วมนะ ระหว่างเดินกลับขึ้นรถ ได้ยินแม่ค้าคุยกันอยู่เรื่องท่วมไม่ท่วมนี่แหละ

และแล้วก็มาถึงวัดพุทไธศวรรย์ แปลกใจว่าไม่เคยมามาก่อน วัดนี้เป็นวัดใหญ่ทีเดียว สร้างมาแต่สมัยอยุธยาตอนต้น สมัยพระเจ้าอู่ทอง และเป็นวัดที่ไม่ได้ถูกทำลายสมัยเสียกรุง จึงยังมีโบราณสถานเหลือให้ชมพอควร เมื่อจอดรถที่ลานจอดรถมองไปเห็นพระปรางค์ ศิลปะแบบขอม เด่นเป็นสง่าอยู่ด้านในของวัด ก็มุ่งตรงไปก่อนเลย

เข้าไปถึงพระปรางค์ ก็เจอพ่อหนุ่มกวักมือชวนไปถวายผ้าห่มองค์พระ ก็เป็นการทำมาหาเลี้ยงชีพของเขา ในการให้บริการ ซึ่งกิริยาอาการเป็นที่รับได้ คือ ไม่เคี่ยวเข็น ไม่เรียกร้อง

พระปรางค์ล้อมรอบด้วยระเบียงคด ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นเรียงราย ความที่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาเท่าไหร่ ทำให้เราเดินดูเรื่อยๆ รู้สึกถึงความสงบแบบที่ควรจะได้รับเวลาเข้ามาในวัด ?

โดยส่วนตัว ชอบรูปแบบมณฑปสองข้างพระปรางค์ ไม่ทราบเหมือนกันว่าศิลปะสมัยไหน หลังคาสวยดี

ออกนอกบริเวณพระปรางค์ไป เป็นวิหารพระพุทธไสยาสน์ องค์พระยังงามและสมบูรณ์ แต่วิหารพังทลายไปแล้ว คงเหลือผนังด้านเดียว

พระพักตร์ท่านยิ้มเมตตาดีจัง ^^

เราค่อยๆเดินย้อนกลับมา แวะเข้าไปไหว้พระประธานในอุโบสถ แล้วออกไปพระตำหนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ประจำอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระตำหนักนี้เห็นชัดเจนเลยว่าสร้างสมัยอยุธยา เพราะมีลักษณะที่เรียกว่า "ตกท้องช้าง" พระตำหนักเป็นอาคารปูน 2 ชั้น อยู่ในสภาพค่อนข้างทรุดโทรม เปิดให้ขึ้นไปชมชั้น 2 เวลาจะเดินขึ้น เบาๆกันหน่อยนะคะ เพราะบันไดไม้ที่ทอดไปยังชั้น 2 ก็เก่าแล้ว และโยกหน่อยๆ ขึ้นไปแล้วเสียวกลัวจะทำบันไดเขาพังอะ

ภายในผนังชั้น 2 ของพระตำหนัก มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง แต่อยู่ในสภาพลบเลือนไปเกือบหมดแล้ว เป็นที่น่าเสียดายมาก มีภาพสีเกี่ยวกับเรื่องหมู่เทวดา นักพรต นมัสการพระพุทธบาท และเรือสำเภาตอนพระพุทธโฆษาจารย์ไปลังกา


ซ้าง ม้า วัว ควาย ^^

ระหว่างชมพระตำหนัก มีเสียงซอบรรเลงกล่อมบรรยากาศด้วย โดยน้องน้อยหน้าตาน่าเอ็นดู แต่งชุดไทยมาหาทุนการศึกษา แต่ป้าว่า หนูสีอยู่ท่อนเดียวหรือเปล่าคะ ว่าจะถามแล้วเชียวว่า ครูเพิ่งต่อให้ท่อนเดียวหรืออย่างไรจ๊ะ

จากพระตำหนัก เดินมาทางริมน้ำ ที่วัดมีรูปปั้น 4 รูป ให้สักการะ คือ รูปปั้นพระเจ้าอู่ทองที่สถาปนาวัดนี้ขึ้น สมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระเอกาทศรถ กับอีกองค์หนึ่งจำไม่ได้แล้ว บังเอิญไม่ได้ถ่ายรูปมา นึกไม่ออก
ก่อนจะออกจากวัด มานั่งพักกันที่ศาลาริมน้ำ แหม...ลมเย็น จนเกือบจะหลับทีเดียว ^^

เราไหว้พระได้ 2 วัดแล้ว คือที่วัดกษัตรา กับวัดพุทไธศวรรย์ (เพราะวัดไชยวัฒนารามไม่ได้ไหว้) ควรจะต้องไหว้อีกสักวัด เห็นป้ายวัดนางกุยอยู่อีกไม่ไกล ไปกันหน่อยดีไหม ไปกราบหลวงพ่อยิ้มกัน

วัดนางกุยนี้ เขาว่ามีอายุกว่า 400 ปีแล้วนะคะ แต่เราเข้ามาในวัด ไม่ได้เห็นโบราณสถานอะไรมากนัก ได้ความว่า วัดเสียหายมากจากเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เราเข้าไปจอดรถ แล้วมองซ้ายมองขวาจะไปตรงไหนล่ะ ก็เห็นเขาทำระดับน้ำไว้ที่ผนังอาคาร เข้าไปลองวัดดู

แม่เจ้า...น้ำท่วมปีที่แล้ว ท่วมสูงสุดมือเอื้อมทีเดียว เฮ้ออออ

เดินมาทางโบสถ์ ก็เจอพระท่านชี้บอกให้เข้าไปไหว้หลวงพ่อยิ้มในโบสถ์ก่อนนะ เสร็จแล้วออกไปทางโน้นนะ ...ค่ะท่าน ขอบพระคุณค่า..
จุดธูปเทียนกราบพระเสร็จแล้ว เข้าไปในโบสถ์ กราบพระประธานแล้ว นั่งมองว่า..ในหมู่นั้น องค์ไหนล่ะ หลวงพ่อยิ้ม มีองค์นึงดูจะยิ้มมากกว่าองค์อื่น แต่ไม่แน่ใจ ถามหลวงพี่ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในโบสถ์ ท่านหัวเราะ ไม่ใช่หรอกโยม หลวงพ่อยิ้ม คือองค์ที่เป็นไม้สักอยู่ในตู้กระจก ด้านขวาขององค์พระประธานต่างหาก

เข้าไปกราบท่านใกล้ๆ มองแล้ว ก็กราบขอพรให้ชีวิตมีแต่รอยยิ้มแบบท่านบ้าง

ออกมา หลวงพี่(น่าจะต้องเรียกหลวงน้อง)ยืนคอยอยู่ ท่านชี้ให้ดูต้นสาละ ซึ่งกำลังออกลูกเต็ม ปกติเคยเห็นแต่ดอก เพิ่งเห็นลูกวันนี้แหละ แข็งๆสีน้ำตาล ลูกขนาดเกือบๆส้มโอ ถามท่านว่าข้างในเป็นอย่างไร ท่านว่าเหมือนมะขวิด เราก็ไม่รู้ว่ามะขวิดหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ท่านบอกมาเสียก่อนว่า กลิ่นเหลือทนทีเดียว เหม็นมากกก เลยเก็บความอยากรู้ไว้เท่านั้น

ท่านพามาดูที่ศาลเจ้าแม่ตะเคียนทอง เดิมบริเวณนี้ เป็นที่ยืนต้นของต้นตะเคียนใหญ่ ขนาดโคนโดยรอบประมาณ 9 เมตร แต่แล้วประมาณปี 2540 ต้นตะเคียนนั้นได้ตายลง จึงตัดต้นเหลือไว้แต่โคนให้เห็น แล้วนำไม้ส่วนหนึ่งไปแกะสลักเป็นเจ้าแม่ตะเคียนทองให้คนสักการะกัน

แล้วท่านยังเล่าเรื่องหลวงพ่อยิ้มให้ฟังว่า เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่แกะสลักจากไม้สักทองและลงรักปิดทองสวยงาม เป็นพระเก่าแก่อยู่คู่กับวัดมาช้านาน จากคำบอกกล่าวเล่าขานของคนเก่าแก่ว่า สมัยก่อน หลวงพ่อยิ้มได้ลอยมาตามแม่น้ำเจ้าพระยามาติดอยู่บริเวณหน้าวัด ทางเจ้าอาวาสและชาวบ้านได้อัญเชิญหลวงพ่อยิ้มไปประดิษฐาน ณ พระอุโบสถวัดนางกุย แล้วในวัดยังมีพระพุทธรูปโบราณ เก่าแก่มากอีกหลายองค์

เป็นอันว่า..วันนี้ได้ไหว้พระ 3 วัด ตามมาตรฐานของคนขาสั้น 5555  ไหว้เสร็จก็เย็นแล้ว ถึงเวลากลับบ้าน แต่จะไม่มีอะไรติดมือมาฝากคนทางบ้านก็กระไรอยู่ เลยแวะที่ "อยุธยา พาวิลเลียน"  ซื้อข้าว(ข้าวจริงๆค่ะ ข้าวภัทรพัฒน์ และข้าวกล้องต่างๆ) ซื้อขนม
ที่นี่...เจอไอติมอร่อยค่ะ ไม่แพงด้วย 3 ลูก 20 บาท ถ้าผ่านไป ลองชิมกันดูนะคะ


แค่ได้ออกมานอกเมืองสักหน่อย ก็มีความสุขแล้ว ความสุขง่ายๆใกล้ๆตัว ^____^