วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556

ไหว้พระ ๙ วัด รับปีใหม่...สองวัดสุดท้าย

จันทร์ที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๕...

วันนี้รีบตื่นแต่เช้าเลย ออกมานอกตึกก็เจอฟ้าสวยๆแบบนี้อยู่ตรงหน้าเลยค่า ^^ สงสัยเมื่อวานฝนตกหรืออย่างไร เช้านี้อากาศเย็นอะค่ะ ต้องควานหาเสื้อคลุมในรถใส่ทับเพิ่มเข้าไป แก้หนาว


รีบออกมายังจุดนัดลงเรือ เราจะไปกันลำนี้ล่ะค่ะ คนขับเรือเป็นผู้หญิงซะด้วย เขาเตรียมน้ำร้อนไว้ชงกาแฟไว้ให้เราด้วย ทั้งๆที่เราไม่ได้สั่ง ใจดีจริงๆ

ยิ่งพอออกเรือไป ลมแรง เลยได้เจอหน้าหนาวเมืองไทยแล้ว หนาวพอควร ลุกไปชงกาแฟกินให้อุ่น ชงมาแป๊บเดียว กลายเป็นกาแฟเย็น ๕๕๕๕ เจอทั้งอากาศ ทั้งลม
สักพัก..พระอาทิตย์ก็ขึ้นเต็มดวงค่ะ....งามจับตา ธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งสวยงามให้เราตลอดเวลา ดูตะวันเบิกฟ้า ลับฟ้ามาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ก็ยังเห็นสวยไม่เคยเบื่อเลย

เรานั่งเรือออกไปกันไกล นั่งคุยกับคนขับไปเรื่อยเปื่อย บึงบอระเพ็ดเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เนื้อที่กว่าแสนสามหมื่นไร่ค่ะ บางส่วนห้ามจับสัตว์น้ำโดยเด็ดขาด แต่บางส่วนสามารถจับสัตว์ได้ แต่เขาจะกำหนดประเภทของอุปกรณ์ที่ใช้จับไว้

ถามถึงจระเข้ เพราะเมื่อก่อนได้ยินว่ามีจระเข้ชุกชุม แต่ตอนนี้คงไม่มีแล้วกระมัง หรือถ้ามี ก็คงเหลือน้อยเต็มที
เรือแล่นแหวกเข้ามา เริ่มเห็นดอกบัวสีชมพูประปราย แล้วค่อยๆเริ่มหนาตาขึ้น คนเรือบอกว่า ช่วงนี้ดอกบัวยังบานไม่เต็มที่ ต้องประมาณเดือนหน้า แต่นกที่อพยพหนีหนาวนั้น เริ่มมาแล้ว น้องเขาก็เก่งนะ เขารู้ชื่อนก ชี้บอกเราได้ว่า นกอะไรบ้าง

เราก็เพลิดเพลินเจริญใจมาก พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ไม่หนาวละอากาศกำลังเย็นสบาย กรี๊ดกร๊าดดอกบัวสวยๆ


นกที่อยู่ระหว่างทาง บางทีเขาก็บินพรึ่บขึ้นมาเป็นฝูง บ้างก็อยู่ตัวเดียวโดดๆ บ้างก็อยู่คละกันไป บ้างก็เกาะเสาไว้ บ้างก็วิ่งอยู่บนใบบัว วิ่งปรู้ดๆ ถ่ายรูปไม่ทัน.. เข้าใจที่เพื่อนบอกล่ะ ว่าใช้กล้อง compact ไม่ได้ ชัตเตอร์มันช้าไม่ทันใจวัยรุ่นน่ะ เป็นงัย




ครั้งนี้ ไม่ได้พก G12 มาด้วย ติดมาแต่กล้องcompact ตัวเล็กๆ กับมือถือ อึดอัดใจมาก อยากถ่ายรูปนกสวยๆ วิวสวยๆ เกิดกิเลสอยากได้กล้องใหม่ขึ้นมาทันทีทันควัน ^^


แต่ก็บอกตัวเองว่า ให้ซื้อกล้องใหม่ ก็ใช่ว่าจะได้รูปสวยๆนะ ของแบบนี้อยู่ที่ฝีมือ ถือกล้องดีๆ แต่ถ่ายไม่เป็น รูปออกมา อายเขาตายเลย ๕๕๕๕  อีกอย่างนะ วัยปูนนี้แล้ว แบกกล้องแบกเลนส์ไหวหรือ ขนาดเอารถมา แค่ G12 ยังไม่ติดใส่รถมาด้วยเลย เพราะรู้ว่าเดี๋ยวก็ขี้เกียจถื พกแต่มือถือ อิอิ ใครจะไปรู้ว่า จะมาได้ชมดอกบัวสวยๆอะ >"<



จะบอกว่า ถึงดอกบัวจะยังออกไม่เต็มที่ แต่ก็...สวยอะ ชอบมากๆเลย ใกล้กรุงเทพด้วย แล้วจะกลับมาใหม่แน่ๆ




ได้แก่เวลาอันสมควร แดดเริ่มแรง ท้องเริ่มหิว คนเรือจึงวกเรือกลับ เราได้แต่เก็บความทรงจำดีๆ ความประทับใจกลับไปด้วย

กลับมาจนเกือบถึงฝั่ง จึงเห็นแพนี้ค่ะ เป็นแพที่ประทับของ....จำไม่ได้จริงๆ เหมือนคนเรือจะบอกว่า ในหลวงร.๗ เคยเสด็จมาประพาสและพักที่นี่ แต่หาข้อมูลในเน็ต บ้างก็ว่า ร.๕ บ้างก็ว่าสร้างโดย ร.๖ เลยขอเป็นว่า เคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ไทย เวลาเสด็จประพาสบึงบอระเพ็ด ก็แล้วกันนะคะ

จากสภาพที่เห็นคิดว่า หากไม่ได้รับการบำรุงรักษา อีกสักพักน่าจะพังอะค่ะ ส่วนตัวเห็นว่า น่าจะปรับปรุงทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ให้คนได้ขึ้นไปเที่ยว ได้เห็นถึงพระจริยาวัตรที่เรียบง่ายของพระมหากษัตริย์ไทย อาจจะทำแพคู่กันไว้ แล้วขายน้ำชากาแฟ ขายของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ ก่อนจะกลับขึ้นฝั่ง แต่ฟังๆดูคงจะยาก เนื่องจากมีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้องกับการดูแลจัดการพื้นที่บึงบอระเพ็ดนี่ บ้านเรานี่ อะไรที่ต้องประสานหลายหน่วยงาน มักจะติดขัดนั่นนี่โน่นตลอด...เฮ้อออ
ขึ้นจากเรือ เราก็หาข้าวใส่ท้องก่อน หิวจังค่ะ แล้วถึงกลับไปอาบน้ำ เช็คเอาท์
บ๊ายบายนครสวรรค์สักที ^^
๗. วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร อ.เมือง จ.สิงห์บุรี
เรามุ่งหน้ากลับกรุงเทพ พร้อมๆกับมองหาวัดเหมาะๆที่จะแวะ เพราะเรายังเหลืออีก ๒ วัดจึงจะครบ ๙ ตามที่ตั้งใจไว้ แล้วก็เห็นป้ายวัดพระนอนจักรสีห์ชวนให้แวะเข้าไป จำได้ว่าเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อสักสิบปีก่อน ครั้งนี้ลองแวะเข้าไป บริเวณที่จอดรถมีของขายมากมาย น่าจะพวกของกินและของ OTOP แต่เราไม่ได้เดินดู แล้วเห็นมีชาวบ้านมานั่งสวดมนต์เสียงดังฟังชัดกันอยู่ที่ซุ้มประตูทางเข้าวัด เราเลยเลียบๆเคียงๆเข้าไปทางข้างๆ ผ่านบริเวณที่เขามีให้ทำสังฆทาน (จำได้ ครั้งก่อนเรามาถวายสังฆทานด้วย) แต่พอเดินต่อไป..เห็นพระนอน ที่คนกำลังจุดธูปเทียนกราบไหว้กันอยู่ ป้าชักงง...ทำไมองค์เล็กจัง (>"<)'



อิอิ...ที่แท้องค์จำลองตะหาก องค์จริงอยู่ด้านในวิหาร แป่ว..!! นั่นล่ะ สมองปลาทอง สิบปีแล้วจะจำอะไรได้ เราก็จุดธูปเทียนบูชาปิดทองกันเรียบร้อยแล้ว จึงเข้าไปในวิหาร...ให้ได้พบว่า กำลังบูรณะอยู่

สันนิษฐานว่า วัดนี้สร้างสมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ มีพุทธลักษณะแบบสุโขทัย ที่มีความงดงามมาก พระพักตร์หันไปทางทิศเหนือ พระเศียรหันไปทางทิศตะวันออก พระกรขวายื่นไปด้านหน้า ไม่งอพระกรขึ้นรับพระเศียรเหมือนแบบไทย มีความยาว ๔๗.๔๐ เมตร
"หลวงพ่อพระนอนจักรสีห์ " เป็นรูปของพระพุทธเจ้า ปางไสยาสน์เทศนาปาฏิหาริย์ แก่อสุรินทราหู ผู้เป็นยักษ์ เพื่อลดทิฎฐิของอสุรินทราหูที่ถือว่ามีร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์ พระพุทธเจ้าจึงเนรมิตร่างกายให้ใหญ่กว่ายักษ์ "หลวงพ่อพระนอน" จึงเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่และยาว

มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า สิงหพาหุ(ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร)มีพ่อเป็นสิงห์ พอรู้ความจริงคิดละอายเพื่อนว่าพ่อเป็นสัตว์เดรัจฉาน จึงฆ่าสิงห์ตาย ภายหลังรู้สึกตัวกลัวบาปและเสียใจเป็นอย่างมาก จึงสร้างพระพุทธรูป โดยเอาทองคำแท่งโต ๓ กำมือ ยาว ๑ เส้น เป็นแกนขององค์พระ เพื่อเป็นการไถ่บาป และพระพุทธรูปมีอยู่ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชามาหลายชั่วอายุคน จนกระทั่งองค์หลวงพ่อพระนอนได้พังทลายลงเป็นเนินดิน
กาลนานต่อมา ท้าวอู่ทอง ได้นำพ่อค้าเกวียนผ่านมาทางนี้ แล้วพบแกนทองคำฝังอยู่ในเนินดิน และทราบเรื่อง สิงหพาหุ ก็เกิดความเลื่อมใสและเห็นเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา จึงชักชวนพ่อค้าเกวียนก่อสร้างพระพุทธรูปนี้ขึ้น โดยใช้ทองแท่งทองคำที่พบนั้นเป็นแกนองค์พระ จนกระทั่งพ.ศ. ๒๒๙๗ และ พ.ศ. ๒๒๙๙ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้เสด็จมานมัสการและซ่อมแซมองค์พระพร้อมทั้งได้สร้างพระวิหาร พระอุโบสถ และเสนาสนะต่าง ๆ ขึ้นใหม่

รอบๆองค์พระนอนจักรสีห์ รายล้อมด้วยพระพุทธรูป และของโบราณต่างๆให้ชมค่ะ



๙. วัดพิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี
ออกจากวัดพระนอนจักรสีห์ มีป้ายบอกชื่อวัดอีกหลายวัด แต่เราเลือกมาวัดพิกุลทอง เพราะรู้สึกคุ้นหูมากกว่าวัดอื่น
วัดนี้เรียกกันทั่วไปว่า "วัดหลวงพ่อแพ" (พระเทพสิหบุราจารย์) ซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาวาส มีพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อแพ จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติและเครื่องอัฐบริขารของหลวงพ่อแพ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จากประวัติที่อ่าน หลวงพ่อแพท่านบวชตั้งแต่อายุ ๑๑ ปี จนมาสิ้นตอนอายุ ๙๔ ปี ท่านเป็นเจ้าอาวาสที่วัดนี้ ยาวนานถึง ๖๗ ปีทีเดียวเชียวนะ ท่านได้สรรค์สร้างถาวรวัตถุต่างๆ ที่สวยงาม และยิ่งใหญ่ มากมาย

นอกจากนั้น เท่าที่ได้อ่าน ท่านเป็นพระผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตา ที่ชาวสิงห์บุรีและจังหวัดใกล้เคียงให้ความเคารพ เลื่อมใสศรัทธากันเป็นจำนวนมาก ตลอดชีวิตของหลวงพ่อได้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างอเนกอนันต์ ทั้งโรงพยาบาลและอื่นๆมากมาย

สำหรับที่วัดพิกุลทองนี้ มีพระพุทธรูปปางประทานพรใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือ พระสุวรรณมงคลมหามุนี หรือ หลวงพ่อใหญ่ ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๑ วา ๒ ศอก ๗ นิ้ว สูง ๒๑ วา ๑ คืบ ๓ นิ้ว ภายในเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ประดับด้วยโมเสดทองคำธรรมชาติชนิด ๒๔ เค



พระสังกัจจายน์องค์ใหญ่


พระพิฆเณศตั้งอยู่กลางสระน้ำ เปิดเพลงหรือบทสวดแบบแขกคลอสร้างบรรยากาศตลอด

วัดนี้บริเวณกว้างขวางมาก เดินจากจุดนั้นไปจุดนี้ได้สักพัก หมดแรง...(เริ่มหิวน่ะ อิอิ) ภารกิจก็เสร็จสมบูรณ์ กลับบ้านเราได้แล้ว

มองย้อนกลับไปองค์พระใหญ่เชียว ให้นึกถึงพระองค์ใหญ่ที่วัดม่วง จ.อ่างทองที่เราอยากไปน่ะ ลักษณะคล้ายๆกันเลย มองเห็นองค์พระสง่างามอยู่กลางทุ่งนา

เราแวะจุดสุดท้ายก่อนเข้ากรุงเทพ ที่ร้านทองชุบ จ.สิงห์บุรี เป็นการปิดท้ายการเดินทางครั้งนี้ให้สมบูรณ์พูนสุข...อิ่มท้อง จนขี้เกียจขับรถ ^____^


สรุป..เป็นอันว่า เราได้ไหว้พระครบ ๙ วัด จาก ๓ จังหวัด เป็นพระนอนเสีย ๓ องค์ ถือเป็นการส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ที่ดี ถึงแม้วันนี้จะผ่านมาหลายเดือนแล้ว ก็ขอแบ่งบุญให้เพื่อนๆทุกคนที่ได้เข้ามาร่วมปันประสบการณ์ด้วยนะคะ


มีเพื่อนถามว่า..ทำไมไปไหว้พระนอนหลายองค์ ก็ไม่รู้เหมือนกัน เราแวะไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้กำหนดว่าจะไหว้พระองค์ไหนบ้าง แต่...ทำไมต้องสงสัย พระนอนแล้วจะทำไม ท่านจะนอน จะนั่ง จะยืน จะเดิน ก็พระพุทธรูปให้เรากราบไหว้ได้เหมือนกันแหละ สงสัยเพื่อนจะมองว่าเป็นบังอรเอาตะนอน เลยไปไหว้พระนอนละมัง อิอิ
ที่จริง ได้ไปกราบพระนอนก็ดีนะ เอาเคล็ดว่า ปีนี้จะได้...นอนมา...๕๕๕๕

( ขอบคุณข้อมูลจาก www.dhammathai.org )

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น