วันนี้ เราตื่นแล้วก็ออกเดินทางไปปราสาทศีขรภูมิกันเลย เพราะประสบการณ์เมื่อวานคือ แดดจัดมากกกก ถ้าออกสายเราคงแย่ แต่ขนาดนั้น..แดดก็จัดจ้าเสียเหลือเกิน ฟ้าเป็นฟ้า แทบไม่มีเมฆเลย สวยจริง แต่เราก็เหมือนอาบเหงื่อต่างน้ำเลยทีเดียว ^^
ปราสาทศีขรภูมิประกอบด้วยปรางค์อิฐ 5 องค์ องค์กลางเป็นปรางค์ประธาน มีปรางค์บริวารล้อมรอบอยู่ทีมุมทั้งสี่สร้างบนฐานเดียวกัน ก่อด้วยหินทรายและศิลาแลง ปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออกมีบันไดทางขึ้นและประตูทางเข้าเพียงด้านเดียวคือ ด้านทิศตะวันออกเช่นกัน
ปรางค์ทั้ง 5 องค์ มีลักษณะเหมือนๆ กันคือ องค์ปรางค์ไม่มีมุข มีประตูทางเข้าเพียงด้านเดียว มีชิ้นส่วนประดับทำจากหินทรายสลักเป็นลวดลายต่างๆ ทั้งส่วนที่เป็นทับหลังเสาประดับกรอบประตู เสาติดผนัง และกลีบขนุนปรางค์ ส่วนหน้าบันเป็นอิฐประดับลวดลายปูนปั้น องค์ปรางค์ประธานมีทับหลังสลักเป็นรูปศิวนาฎราช(พระอิศวรกำลังฟ้อนรำ) บนแท่นมีหงส์แบก 3 ตัวอยู่เหนือเศียรเกียรติมุข มีรูปพระคเนศ พระพรหม พระวิษณุ และนางปารพตี (นางอุมา) อยู่ด้านล่าง เสาประตูสลักเป็นลวดลายเทพธิดาลายก้ามปูและรูปทวารบาล
ทับหลังศิวนาฎราช ที่ศีขรภูมินี้ แกะสลักได้งดงามจริงๆ
จากลวดลายทีเสารและทับหลังของปรางค์ประธานและปรางค์บริวารทั้ง 4 องค์ มีลักษณะปนกันระหว่างรูปแบบศิลปะขอมแบบบาปวน (พ.ศ.1550-1650) และแบบนครวัด ( พ.ศ.1650-1700) จึงอาจกล่าวได้ว่า ปราสาทแห่งนี้คงสร้างขึ้นในราวกลางพุทธศตวรรษที 17 หรือต้นสมัยนครวัด โดยสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย และคงถูกดัดแปลงให้เป็นวัดในพุทธศาสนาตามที่มีหลักฐานการบูรณะปฏิสังขรณ์ในราวพุทธศตวรรษที่ 22 ในสมัยอยุธยาตอนปลาย
(ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซด์จ.สุรินทร์ค่ะ)
นางอัปสร...ตั้งแต่ไปเที่ยวชมปราสาทขอมมาหลายแห่ง เพิ่งเห็นนางอัปสรที่ศีขรภูมินี้เป็นแห่งแรก ไม่เคยเห็นที่อื่นมาก่อนเลยในเมืองไทย ก็งามเทียบเท่านางอัปสรที่นครวัตล่ะค่ะ
ที่จริงแล้ว ออกเสียดายว่า ที่นี่เหลือของงามๆให้เห็นน้อยไปหน่อย ไม่เหมือนพนมรุ้งที่มีทั้งทับหลัง หน้าบัน และภาพแกะสลักตามมุมนั้นมุมนี้ให้ดู แต่จะอย่างไร เราก็พอใจกับสิ่งที่ได้เห็นล่ะ แถมวันนี้ ฟ้าก็สวย ถึงแดดจะร้อนมากก็เถอะ ^^
ที่อ.ศีขรภูมินี้ มีของฝากสำคัญ คือ กาละแมค่ะ อร่อยดี มีร้านขายอยู่ตรงข้ามปราสาทเลยล่ะค่ะ
เรากลับเข้าโรงแรมเพื่ออาบน้ำและ check out ออกจากโรงแรม หิวซ่กเลย วนหาร้านก๋วยเตี๋ยว แต่่ส่วนมากจะมีปัญหาว่าจอดรถไม่ได้ วนไปวนมา ไปเจอหอนาฬิกาที่พยายามหาตั้งแต่วันแรก โธ่เอ๋ย...อยู่แค่นี้เอง กลางคืนวนหาไม่เจอ พลาดของอร่อยเมือสุรินทร์ไปหนึ่งอย่าง แต่วันนี้ก็บังเอิญเจอร้านขายของฝาก ลงไปซื้อกันก่อนค่ะ ซื้อข้าวเมืองสุรินทร์ไปลองทาน ซื้อหมูแก้ว กุนเชียง กับ หัวไชโป๊
ตอนที่ซื้อพี่คนขายเอากุนเชียงมาให้ชิม เราก็ว่าอร่อยดี แต่ไม่รู้ว่าเพราะหิวรึเปล่า แต่ก็ซื้อติดมือมาด้วย ปรากฎว่า มีแต่คนชมว่าอร่อยๆๆ จนเสียดายว่าซื้อมาน้อยไป และจำไม่ได้ด้วยว่า ยี่ห้ออะไร ป้ายร้านก็ถ่ายมาไม่ครบ เฮ้อ... (แต่ถ้าไปเองก็ไปซื้อถูกละน่า)
หิวเต็มที่ พี่ที่ร้านของฝากบอกทางไปร้านก๋วยเตี๋ยวให้ ท่าทางพี่แกไม่ค่อยให้ความมั่นใจเราเลยว่าจะอร่อย แต่พอไปถึงหน้าร้าน ก็...อ๋อ ลูกชิ้นชุมพล อ่านเจอในเน็ตมา อร่อยแน่ มื้อนี้ อิอิ
เข้าใจว่า เขาดังก๋วยเตี๋ยวเนื้อนะคะ แต่เขาก็มีอย่างอื่นขายด้วยค่ะ
อิ่มแล้ว ก่อนออกเดินทาง เราแวะไหว้พระที่วัดบูรพารามกันก่อนวัดบูรพาราม เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี มีอายุประมาณกว่า 200 ปี เท่าๆ กับอายุของเมืองสุรินทร์ สร้างโดยพระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์ จางวาง (ปุม) เจ้าเมืองสุรินทร์คนแรก สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. 2300-2330 โดยประชาชนร่วมกันสร้างขึ้น เรียกชื่อว่า "วัดบูรพ์"
เดิมเป็นวัดมหานิกาย เป็นวัดเก่าแก่มีพัฒนาการที่ยาวนานตามยุคตามสมัย ต่อมาใน ปี พ.ศ. 2476 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโสอ้วน) ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑล ได้อนุมัติให้วัดบูรพ์เป็นวัดในสังกัดคณะธรรมยุต และได้นิมนต์พระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ซึ่งปฏิบัติธุดงค์กรรมฐานอยู่ ให้มาประจำอยู่ที่วัดบูรพาราม ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส
เราเดินทางกลับด้วยถนนคนละเส้นกับขามา แต่ขับไปตามป้าย ถนนดี ไม่ค่อยมีรถ ถ้าเป็นกลางคืนคงเสียวๆเหมือนกัน เรายังไม่ได้กลับกรุงเทพหรอกค่ะ แวะมานอนแถวเขาใหญ่กันสักคืนหนึ่งก่อน Kensington English Garden Resort คือเป้าหมายของเราค่ะ มาถึงตอนบ่ายๆ อากาศดี เริ่มเย็นนิดๆแล้ว รีสอร์ทก็สวยค่ะ แต่คาดหวังดอกไม้ว่าจะสวยกว่านี้ เห็นคนสวนบอกว่า 2 อาทิตย์ที่แล้ว ดอกไม้สวยกว่านี้ อ้าววววว
เราเดินเล่น ชมรีสอร์ทกันจนเริ่มมืด ค่อยกลับมาอาบน้ำเตรียมตัวทานอาหารเย็น เราตกลงกันว่าจะทานอาหารในโรงแรม เพราะถนนแถวนี้ออกจะมืด เราก็ไม่ชินทางด้วย แล้วเราก็ครองห้องอาหารค่ะ King George dining room ห้องสวยมากค่ะ สีสันสะใจมาก ถ่ายรูปเล่นกันสนุกเลย อิอิ
อาหารก็อร่อยใช้ได้ค่ะ อิ่มมากกกก
อิ่มจนต้องมาเดินเล่น นั่งเล่นแถว lobby ก่อนกลับไปห้อง
คืนนี้ พระจันทร์สวยมากค่ะ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันพระใหญ่
30 ตุลาคม 2555
เช้านี้ เรา chill chill ใครใคร่ตื่นเช้า ตื่น ใครใคร่นอน นอน...5555 คงเดาได้นะคะว่าใครนอน
เราใช้เวลาทานอาหารเช้ากันสบายๆ และเก็บภาพสวยๆกันอีกหน่อย กว่าจะออกจากรีสอร์ทก็เกือบเที่ยงล่ะค่ะ
เราสรุปกันว่า รีสอร์ท ก็สวยดี อาหารใช้ได้ ดอกไม้งาม แต่ที่เราชอบมากคือ พนักงานค่ะ เราว่าพนักงานที่นี่ได้รับการอบรมมาดี น่ารัก เข้าใจคำว่า "บริการ" ค่ะ
ระหว่างทางกลับกรุงเทพ ผ่าน Palio ก็อดแวะเข้าไปไม่ได้ เป็นช่วงเทศกาล Halloween พอดี ก็ได้ภาพแปลกๆตามาบ้าง
ทริปนี้ ก็จบลงที่ตรงนี้ละค่ะ มีความสุขทุกครั้งที่ได้เดินทาง เมืองไทยเรายังมีสถานที่ต่างๆที่น่าสนใจ และสวยงามอีกมาก ใครหาเพื่อนเดินทางน่ารักๆได้อย่างป้าตุ่ม ก็แพคกระเป๋าออกเดินทางกันเถอะค่ะ ^^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น