ไหว้พระ ๙ วัด รับปีใหม่ ๒๒-๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๕
ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ตั้งใจว่าปีนี้จะไปดูทะเลบัวแดงที่อุดรธานี ก็ให้อ่านเจอในหนังสือพิมพ์ว่า บัวแดงถูกผลกระทบจากภัยแล้ง ทำให้ดอกบัวออกน้อยกว่าปกติ เช็คไปทางน้องทางนั้น เขาก็ว่าจริง ..ไม่เป็นไร ไปที่อื่นก็ได้ ปีหน้าค่อยไป.. อิอิ
ฉะนั้น คว้าแผนที่มาดูซิ เรายังไม่เคยไปจังหวัดไหนบ้าง เอาใกล้ๆหน่อยก็ดี จะได้เรื่อยเปื่อยตามอารมณ์ นี่งัย พิจิตร ไปเมืองชาละวันกันดีกว่า.. ที่เที่ยวมีตั้งหลายแห่ง ทั้งวัด ทั้งโบราณสถาน นกกระจอกเทศก็มีให้ดู ตกลงๆ ออกเดินทางกันวันเสาร์ที่ ๒๒ ธันวาคมนะจ๊ะ โรงแรมเหรอ.. จองสักคืนก็ได้มั้ง คืนวันอาทิตย์นะ ส่วนคืนวันเสาร์ ค่อยดูกันอีกทีว่าจะนอนไหน ค่ำไหนนอนนั่นละกัน..
แล้วเราก็ออกเดินทางกันหลังอาหารกลางวัน ไม่มีแผนเลยว่าจะไปไหนบ้าง รู้แต่ว่า ขับไปทางอยุธยา ไปจนถึงนครสวรรค์ แล้วต่อไปพิจิตร ^^ ชอบซะจริง เหมือนได้ผจญภัย(แบบหลอกๆ)
ระหว่างทาง เห็นสถานที่อะไรไม่รู้ รั้วยาววววเชียว แวะหน่อยๆ...อนุสาวรีย์สมเด็จพระศรีสุริโยทัย ที่ทุ่งมะขามหย่อง...น่ะเอง จำได้แล้ว ที่ในหลวงท่านเสด็จมางัยคะ ตอนนั้นยังอยากจะมาเฝ้ารับเสด็จเลย เพิ่งรู้ว่าอยู่ตรงนี้นี่เอง
ใครจะมา แนะนำให้มาเย็นๆ น่าจะดี เพราะมีสระน้ำกว้าง บรรยากาศคงสวย แต่ตอนนี้ แดดแรงมากครับ พี่น้องครับ แสบผิวกันเลย (ก็ประมาณบ่ายโมงเศษๆเองน่ะ)
แต่แล้ว ในสภาพแดดร้อนๆ เราก็ชุ่มชื่นด้วยน้ำใจคนไทย คือระหว่างที่เข้าไปกราบท่าน คุณผู้ชายคนหนึ่งที่ไปเที่ยวเหมือนเรา เห็นเราจะกราบมือเปล่า(ก็ไม่มีขาย เราก็จะกราบด้วยใจน่ะค่ะ) เธอเลยเอื้อเฟื้อธูปให้เรา พร้อมไฟแช็คเสร็จสรรพ กำชับด้วยว่าธูปต้องคนละ ๙ ดอกนะครับ เธอว่าเธอพกติดรถไว้ เผื่อผ่านไปไหน แวะลงไปกราบพระ กราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์...น่ารักดีจัง... ขอบคุณนะคะ
แต่แล้ว ในสภาพแดดร้อนๆ เราก็ชุ่มชื่นด้วยน้ำใจคนไทย คือระหว่างที่เข้าไปกราบท่าน คุณผู้ชายคนหนึ่งที่ไปเที่ยวเหมือนเรา เห็นเราจะกราบมือเปล่า(ก็ไม่มีขาย เราก็จะกราบด้วยใจน่ะค่ะ) เธอเลยเอื้อเฟื้อธูปให้เรา พร้อมไฟแช็คเสร็จสรรพ กำชับด้วยว่าธูปต้องคนละ ๙ ดอกนะครับ เธอว่าเธอพกติดรถไว้ เผื่อผ่านไปไหน แวะลงไปกราบพระ กราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์...น่ารักดีจัง... ขอบคุณนะคะ
แน่ะ ป้ายเลี้ยวซ้ายไปจ.อ่างทอง ไปกันมั้ย..ตามเคย เพื่อนร่วมทางแสนดี ไม่มีปฏิเสธ พอเลี้ยวไป เห็นป้ายวัดป่าโมก ชื่อคุ้นๆหูนะ เราตั้งใจจะไหว้พระให้ครบ 9 วัดนี่ เริ่มที่อ่างทองเลยละกัน ขับไปตามป้ายบอกทางละค่ะ ที่ป้ายจะเขียนวงเล็บไว้ด้วยว่า “หลวงพ่อโต(พูดได้)” ทำให้เราอยากรู้มากว่าพูดได้อย่างไร
วัดที่ ๑ : วัดป่าโมกวรวิหาร อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง
ตามป้ายมาเรื่อยๆก็ถึงวัด อยู่ริมแม่น้ำค่ะ บรรยากาศในวัดเงียบๆ มีคุณลุงนั่งโขกหมากรุกกันอยู่ ๕-๖ คน มีแม่ชีดูแลเรื่องดอกไม้ธูปเทียน แม่ชีชวนให้มาสวดมนต์ข้ามปีด้วยค่ะ ^^ อ่านป้ายแนะนำวัด พบว่าวัดนี้มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา สิ่งสำคัญคือ พระพุทธไสยาสน์ และ มณฑปพระพุทธบาท เราเข้าไปกราบพระพุทธไสยาสน์ก่อน
เป็นพระพุทธไสยาสน์ที่งดงามมากองค์หนึ่ง ชอบพระพักตร์ท่าน เหมือนอมยิ้มนิดๆ ดูแล้วสบายใจ ความยาวจากพระเมาลีถึงปลายพระบาท ประมาณ ๑๒ วา ( ๒๒.๕๘ เมตร) ก่ออิฐถือปูนปิดทอง ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างและใครเป็นผู้สร้าง แต่มีในพระราชพงศาวดารในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ว่า ก่อนพระองค์จะยกทัพไปรบกับพระมหาอุปราช ได้เสด็จมาชุมนุมพลและถวายสักการะบูชาก่อนยกทัพไปตีพม่า
ต่อมา ด้วยองค์พระพุทธไสยาสน์และพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำและเป็นคุ้งน้ำ น้ำจึงเซาะตลิ่งพังลงไปจนใกล้ถึงองค์พระ สมเด็จพระเจ้าท้ายสระจึงได้โปรดเกล้าฯ ให้พระราชสงครามเป็นนายกองดำเนินการชะลอพระพุทธไสยาสน์ ให้ลึกเข้ามาจากฝั่ง ๔ เส้น ๔ วา แล้วสร้าง พระวิหารสำหรับพระพุทธไสยาสน์ใหม่
นอกจากนั้นยังมีโคลงพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ เรื่อง การชะลอพระพุทธไสยาสน์ เมื่อครั้งเป็นกรมพระราชวังบวร ฯ นิพนธ์ ถวายสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เป็นจำนวนโคลง ๑๒๘ บท มีสำนวนตามบทที่ ๒ ดังนี้
นอกจากนั้นยังมีโคลงพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ เรื่อง การชะลอพระพุทธไสยาสน์ เมื่อครั้งเป็นกรมพระราชวังบวร ฯ นิพนธ์ ถวายสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เป็นจำนวนโคลง ๑๒๘ บท มีสำนวนตามบทที่ ๒ ดังนี้
ตะวันลงตรงทิศทุกัง แทงสาย
เซราะฝั่งพงรหุรหาย รอดน้ำ
ขุดเขื่อนเลื่อนทลมทลาย ริมราก
ผนังแยกแตกแตนซ้ำ รูปร้าวปฏิมา
รอบๆองค์พระนอน มีพระพุทธรูปตั้งเรียงราย มีรูปวาดเล่าเรื่องการชะลอย้ายองค์พระมายังที่ตั้งวิหารใหม่ แต่ไม่มีป้ายตรงไหนที่อธิบายคำว่า “หลวงพ่อโต(พูดได้)” อยากรู้ๆๆอะ :( เดินคิ้วขมวดต่อมายังมณฑปพระพุทธบาท (-"-)
เข้ามาเจอคุณป้าที่เฝ้ามณฑป เธอจึงเล่าให้ฟังว่า สมัยพระพุทธเจ้าหลวง มีเรื่องโจษจันกันว่า พระนอน ที่วัดป่าโมกพูดได้ มีทั้งพระและฆราวาสได้ยิน ท่านบอกตำรายา ซึ่งนำไปรักษาคนไข้หาย ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ พระองค์จึงได้เสด็จมานมัสการองค์พระนอน... อ้อ กระนี้เอง ขอบคุณค่ะ ป้าขา (ป้าใจดีมากเลย ดูลายมือให้ด้วยล่ะ อิอิ)
เข้ามาเจอคุณป้าที่เฝ้ามณฑป เธอจึงเล่าให้ฟังว่า สมัยพระพุทธเจ้าหลวง มีเรื่องโจษจันกันว่า พระนอน ที่วัดป่าโมกพูดได้ มีทั้งพระและฆราวาสได้ยิน ท่านบอกตำรายา ซึ่งนำไปรักษาคนไข้หาย ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ พระองค์จึงได้เสด็จมานมัสการองค์พระนอน... อ้อ กระนี้เอง ขอบคุณค่ะ ป้าขา (ป้าใจดีมากเลย ดูลายมือให้ด้วยล่ะ อิอิ)
วัดที่ ๒ : วัดขุนอินทประมูล อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง
ที่วัดป่าโมกมีแผนที่ท่องเที่ยว จ.อ่างทอง เรายืนดูกัน มีที่ที่เราอยากไปมาก คือ วัดม่วง แต่ดูจะออกนอกเส้นทางที่เราจะขึ้นเหนือไปนครสวรรค์อยู่นะ จึงตัดสินใจไปวัดขุนอินทประมูลดีกว่า คิดว่าเคยไปมาเมื่อหลายๆปีก่อน (รึเปล่าน๊อ..) จำภาพพระนอนองค์ใหญ่ ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง มีเสาอิฐเรียงรายอยู่รอบๆได้ ระหว่างทาง ก็ขับวนๆหลงๆบ้าง ^__^
มองจากถนนเข้าไปเห็นเจดีย์หรืออะไรไม่รู้ สวยดี แต่ไม่ได้แวะหรอกค่ะ มาค้นจากเน็ตภายหลังพบว่า คือ พระธาตุเจดีย์ศรีโพธิ์ทอง วัดท่าอิฐ
พอเจอวัดเลี้ยวเข้าไปตามถนน นาข้าวเขียวววว สวยยยย ไปไหว้พระก่อนละกันนะคะ เลี้ยวเข้าวัด เห็นมีก่อสร้างโบสถ์ใหญ่โตด้านข้าง แต่เราไม่ได้แวะดู(กลับบ้านมาอ่านเจอในเน็ตว่า เป็นพระอุโบสถใหม่ มูลค่าก่อสร้าง ๑๐๐ ล้านบาท เป็นโบสถ์ hitech มีทั้งลิฟต์ บันไดเลื่อน เบาะนั่งไฮโดรลิก !!!)
เราขับมุ่งตรงเข้าไปจอดหน้าองค์พระเลย จอดรถเสร็จ เงยหน้ามอง...อึ้ง !!! เขากำลังบูรณะอะ ยังไม่แล้วเสร็จเลย แป่ว
วัดนี้เป็นวัดโบราณ สร้างขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัย พิจารณาจากซากอิฐแนวเขตเดิมคะเนว่าเป็นวัดขนาดใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ ที่ใหญ่และยาวที่สุดในประเทศไทยมีความยาวถึง ๕๐ เมตร (๒๕ วา) เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหารแต่ถูกไฟไหม้ปรักหักพังไป เหลือแต่องค์พระตากแดดตากฝนอยู่กลางแจ้งมานานนับเป็นร้อยๆปี องค์พระพุทธรูปมีลักษณะและขนาดใกล้เคียงกับพระนอนจักรสีห์ จังหวัดสิงห์บุรี สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยเดียวกัน
ตามประวัติเล่ากันว่า ขุนอินทประมูล ท่านเป็นนายอากร มีความตั้งใจจะสร้างวัดและบูรณะพระพุทธไสยาสน์ โดยนำทรัพย์ส่วนตัวประมาณ ๑๐๐ ชั่ง มาสร้างวิหารและเจดีย์ แต่เมื่อจะบูรณะพระนอนด้วย ต้องใช้ทุนทรัพย์หลายร้อยชั่ง จึงยักยอกเอาเงินของหลวงมาสร้างเพื่อเป็นปูชนียสถาน ครั้นความทราบถึงเบื้องบน พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศโปรดเกล้าฯ ให้พระยากลาโหมมาไต่สวน ขุนอินทประมูลให้การภาคเสธ จึงถูกลงทัณฑ์ เมื่อใกล้สิ้นใจจึงได้สารภาพ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทราบความ ก็เสด็จขึ้นมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง ทรงเห็นว่าขุนอินทประมูลมีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง จึงพระราขทานนามวัดว่า “วัดขุนอินทประมูล”
เราตั้งใจว่าจะกลับไปใหม่ ตอนที่บูรณะองค์พระนอนเสร็จแล้ว และจะมาดูโบสถ์ hitech ด้วย ส่วนวันนี้เราสนุกสนานกับกวางน้อยหน้าองค์พระไปก่อน อิอิ สนามหญ้าหน้าองค์พระเขียวมากทีเดียว แถมมีกวางน้อยประดับบนสนามอีก ๒ ตัว ตลกดีอะ เหมือนสนามหญ้าตามบ้าน หรือ สนามกอล์ฟมากกว่านะคะ
ออกจากวัด ก็แวะถ่ายภาพกับนาข้าวงามๆสักหน่อย...งามมั้ยคะ (ถามถึงนาข้าวนะ ^^)
วัดที่ ๓ : วัดไชโยวรวิหาร อ.ไชโย จ.อ่างทอง
เราตั้งใจจะขับรถออกไปถนนสายเอเชีย เพื่อตรงไปจ.นครสวรรค์ แต่ผ่านมาเห็นวัดไชโย หรือ วัดเกษไชโย เป็นวัดใหญ่เลยลองแวะเข้ามา แล้วก็พบว่างามมาก โดยเฉพาะภาพจิตรกรรมฝาผนัง
วัดไชโยเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร เดิมเป็นวัดราษฏร์สร้างมาแต่ครั้งใดไม่ปรากฏ มีความสำคัญขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรีได้ขึ้นมาสร้างพระพุทธรูปปางสมาธิองค์ใหญ่หรือหลวงพ่อโตไว้กลางแจ้ง องค์พระเป็นปูนขาวไม่ปิดทอง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จฯ มานมัสการและโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดไชโยขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๐ แต่แรงสั่นสะเทือนระหว่างการลงรากฐานพระวิหารทำให้องค์หลวงพ่อโตพังลงมาจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหลวงพ่อโตขึ้นใหม่ตามแบบหลวงพ่อโต วัดกัลยาณมิตร มีขนาดหน้าตักกว้าง ๘ วา ๖ นิ้ว สูง (สุดยอดรัศมีพระ) ๑๑ วา ๑ ศอก ๗ นิ้ว และพระราชทานนามว่า “พระมหาพุทธพิมพ์”
องค์หลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่ในพระวิหารที่มีความสูงใหญ่สง่างามแปลกตากว่าวิหารแห่งอื่นๆ จึงมีพุทธศาสนิกชนจากที่ต่างๆ มานมัสการอย่างไม่ขาดสาย
ติดกับด้านหน้าพระวิหารมีพระอุโบสถก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมไทยอันงดงามหันด้านหน้าออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ ๕
ภาพนี้เข้าใจว่า เป็นช่วงที่เจ้าชายสิทธัตถะจะออกบวช เดาอย่างนั้นเพราะมีม้ากัณฐกะ
สองภาพข้างล่างนี้ นึกไม่ออกว่าตอนไหนเหมือนกัน ไม่เชี่ยวชาญพุทธประวัติ
ภาพนี้ชัดเจน ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จสวรรคต
ส่วนในวิหารที่หันหน้าออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาประดิษฐานรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ขนาดหน้าตักกว้าง ๕ เมตร สูง ๗ เมตร สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๗
จากป้ายคำขวัญเมืองอ่างทอง พบว่าเราได้มาเยือน highlight เมืองอ่างทองโดยไม่ได้ตั้งใจนะ โชคดีจัง
จากวัดไชโยก็มุ่งหน้าตรงไปนครสวรรค์ค่ะ ระหว่างทางตะวันชิงพลบ แสงสวยมากทีเดียว เราถึงนครสวรรค์มืดพอดี ผ่านเข้าไปหาข้าวต้มทานกันก่อนดีกว่า ที่นี่ร้านข้าวต้มเยอะดี เสียแต่จอดรถยาก ระหว่างทานข้าว เราก็ได้โรงแรมที่อยู่ปากทางพอดี ไม่ต้องขับไปไหน แค่ย้อนไปนิดหนึ่ง
Bonito Chinos Hotel โรงแรมค่อนข้างใหม่ มีที่จอดรถมากพอควร แต่วันที่เราไป โรงแรมมีงานแต่งงานพอดี เลยหาที่จอดรถยากหน่อย มี Free wifi บนห้องพักด้วยค่ะ แล้วในห้องมีหนังสือนำเที่ยวจ.นครสวรรค์ด้วย นั่งอ่านๆดู ก็มีอะไรให้เที่ยวหลายแห่ง แต่วัดหลายวัดที่น่าสนใจ ดูจะอยู่ไกล...มาคราวนี้แปลก อยากไปเที่ยว แต่ทำไมออกจะขี้เกียจขับรถ ๕๕๕๕
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น