วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ไปทุ่งดอกกระเจียวกันเถอะ...๒

เช้าแล้วววว ตื่นขึ้นมารอทานข้าวเช้าตั้งแต่ ๖ โมง เพราะกะว่าจะไปที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงามตอน ๗ โมง จะได้ทันเห็นหมอกสวยๆ
อากาศดีมากๆๆๆเลย ขอย้ำอีกที นั่งรอข้าวเช้านี่มีลมพัดเอื่อยๆ สดชื่นมาก

รออาหารเช้านานไปนิด น้องยกมาให้ประมาณ ๖.๓๐ น. จานใหญ่ขนาดนี้ พี่รีบทานเลยออกแนวจุกเล็กๆอะ แต่ก็อร่อยค่ะ ถ้ามีเวลามากกว่านี้สักนิด คง enjoy


๗ โมงเราพร้อม ออกเดินทางไปอุทยานป่าหินงามกัน ค่าเข้า รถคันละ ๓๐ บาท ค่าคนเข้า คนละ ๒๐ บาทนะคะ เขามีที่ให้จอดรถ แล้วไปนั่งรถรางต่อน่ะค่ะ เขาเก็บค่ารถรางคนละ ๒๐ บาท จะขึ้นลงกี่รอบก็ได้ เขามีจุดหยุด ๔ แห่ง คือที่ลานหินสุดแผ่นดิน ที่ทุ่งดอกกระเจียว ๑ และ ๒ กับที่ลานป่าหินงาม (รถรางส่วนหนึ่งเขาเอามาจากงานราชพฤกษ์ที่เชียงใหม่นะคะ)
ครั้งแรกที่มา สามารถเอารถเข้าไปได้จนเกือบถึงผาสุดแผ่นดินนะคะ แล้วยังเดินไปตามทุ่งดอกกระเจียวได้ด้วย เพราะตอนนั้นเขายังไม่เริ่มโปรโมท นักท่องเที่ยวมีไม่มาก ยังไม่ต้องการการจัดการมากขนาดนี้
อุทยานแห่งชาติป่าหินงามนี้ ยังมีสภาพป่าสมบูรณ์ดี เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของลุ่มน้ำชีและแม่น้ำป่าสัก มีพื้นที่ประมาณ ๗๐,๐๐๐ ไร่ด้วยกัน

เราเลือกขึ้นไปที่สูงที่สุดก่อนค่ะ ผาสุดแผ่นดิน หมอกลงหนามากทีเดียว อาจเป็นเพราะเมื่อวานฝนตกหนักก็ได้ น่าเสียดาย มองลงไป ไม่เห็นอะไรเลย นอกจากหมอก

ผาสุดแผ่นดิน อยู่ทางด้านเหนือของที่ทำการอุทยานฯ เป็นจุดที่สูงที่สุดของเทือกเขาพังเหย เขาว่าแนวหน้าผาและชะง่อนหินบริเวณนี้เกิดจากการดันตัวของแผ่นดินภาคกลาง ซุกเข้าใต้แผ่นดินภาคอีสาน ทำให้เกิดขอบยกสูงขึ้นแบ่งระหว่างภาคกลางกับภาคอีสาน
บริเวณนี้เป็นเขตรอยต่อ ๓ ภาค ระหว่าง ภาคกลาง จ.ลพบุรี กับ ภาคอีสาน จ.ชัยภูมิ และ ภาคเหนือ จ.เพชรบูรณ์


เมื่อไม่เห็นอะไร เราก็เลือกที่จะเดินลงไปดูทุ่งดอกกระเจียว โดยเดินไปตามทางในป่า แทนการนั่งรถ หรือ เดินไปตามถนน เพราะบรรยากาศดีกว่ากัน แถมไม่ต้องกลัวหลงด้วย ก็ทางเดินออกจะชัดเจนนี่นะ


แถมยังมีอะไรๆให้ดูตามรายทางด้วย ดอกไม้ดินเล็กๆ หนอนตัวโตๆ ^^

เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอทุ่งดอกกระเจียวในสายหมอก



เดี๋ยวนี้ เขาจะทำทางเดินเท้าไว้ให้ พร้อมทั้งกั้นรั้วลวดไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินลงไปในทุ่ง เพราะอาจจะไปเหยียบต้นกระเจียวที่กำลังจะงอกขึ้นมาใหม่ได้ แต่ก็น่าสลดใจที่นักท่องเที่ยวบางรายก็ยังปีนออกไปนอกรั้วกั้น เพื่อถ่ายรูป บางรายคนเป็นพ่อ บอกให้ลูกปีนออกไปเพื่อที่จะได้ถ่ายรูปชัดๆด้วยซ้ำ  แทนที่จะช่วยกันอบรมเด็กให้เคารพกฏ ขนาดเขามีป้ายติดว่า ใครลงไปในทุ่งจะปรับ ๕๐๐ บาทด้วยนะคะ ระหว่างที่เดินๆอยู่ จะมีเสียงเจ้าหน้าที่เป่านกหวีดปรี๊ดๆ เตือนคนที่ฝ่าฝืนกฏเป็นระยะๆ
ส่วนตัวคิดว่า น่าจะปรับจริงจังไปเลย อาจจะได้ผลมากกว่านี้...  นี่คือ การอะลุ้มอล่วยแบบไทยๆหรือเปล่าคะ ???






ชอบดอกสีเหลืองส้มนี่จริงๆ ลีลาน่ามอง ดูเธอสะบัดสะบิ้งดี อิอิ


ส่วนดอกสีขาวนี่ ดอกอะไรไม่ทราบ อยู่ติดกับพื้นดินเลย

เราเดินกันลงมา จนเกือบ ๙ โมงแล้ว ยังไม่มีวี่แววจะเห็นแสงแดด เลยกะว่าจะย้อนกลับไปดูทุ่งดอกกระเจียวสีขาวก่อน จำได้ว่าเคยมาดู ดอกจะเล็กกว่าสีชมพู ถามคุณเจ้าหน้าที่เขาว่า อยู่แถวหลังห้องน้ำ ตรงผาสุดแผ่นดิน เลยนั่งรถย้อนกลับขึ้นไปอีกรอบ พอจะลงรถ ถามคุณคนขับอีกที เธอว่า ไม่ให้ไป เพราะยังไม่ได้ทำทางเดิน เกรงจะหลง ปีหน้าค่อยมาใหม่ เพราะทางเดินจะเสร็จปีหน้า ( แต่แหม...อิฉันเคยมาแล้วนะคะ ไม่น่าหลงอะ )

แวะเข้าห้องน้ำก่อน ห้องน้ำสะอาดดี แต่...ใครช่วยบอกหน่อยได้ไหมคะ ที่ว่า "สุขาซังไบสุดสุด" แปลว่าอะไร

เราลองเดินไปตามทางด้านหลังห้องน้ำ เดินไปไกลพอควร ก็ไม่ยักเจอทุ่งดอกกระเจียวสีขาวสักที เลยเดินกลับ ย้อนขึ้นไปผาสุดแผ่นดินอีกที คราวนี้เจอแล้ว มุมนี้ ^^
ไม่กล้าลงนั่งห้อยขาแบบคนอื่นเขา แถมคุณท่านตากล้องก็ไม่กล้าเข้ามาถ่ายใกล้ๆ ให้เห็นลงไปถึงข้างล่างด้วย
อิอิ กลัวที่สุด คือ กลัวแท่นหินที่อยู่มานาน จะเกิดรับน้ำหนักเราไม่ไหวขึ้นมาในวันนี้อะ



 เมื่อไม่เจอกระเจียวขาว ก็กลับลงมาทุ่งดอกกระเจียวสีชมพูใหม่ เผื่อว่า แดดจะออก เพราะเริ่มสายแล้ว
 แดดเริ่มมาแล้วค่ะ ก็จะเห็นกระเจียวชัดขึ้น








ฟังคุณป้านักท่องเที่ยวท่านนึงเล่าว่า ดอกจริงๆคือที่เป็นกลีบเล็กๆสีขาวๆม่วงๆน่ะค่ะ

ดอกกระเจียวที่เพิ่งออกยังมีอีกมากนะคะ คุณเจ้าหน้าที่บอกว่า เดือนหน้าก็ยังน่าจะมีให้ดูอยู่


ดอกไม้ป่า..น่ารักมั้ย



สิบโมงกว่าแล้ว ได้เวลาบ๊ายบายทุ่งดอกกระเจียวเสียที ไว้แล้วจะมาใหม่นะคะ

เรานั่งรถจากทุ่งดอกกระเจียวมาที่ลานป่าหินงามกันค่ะ ไหนๆก็มาแล้ว ที่จริงขาเริ่มล้า และเจ็บเท้าแล้ว รถพามาจอดที่ลาน บอกให้เดินตามทางไป ยืนดูป้าย เขาบอกว่าประมาณ ๑๐๐ เมตรนะ จริงอ๊ะเปล่าาาา

ลองเดินไปตามทาง สักพักก็จะเจอหินรูปถ้วยฟีฟ่า หรือรูปตะปู

ขอชูถ้วยฟีฟ่าสักหน่อย ;)

จากบริเวณใกล้ๆกัน จะมองเห็นหินแม่ไก่ยักษ์

และมอหำตั้ง

แต่ต้องปีนต่อไปหน่อย จึงจะเห็นหินรูปเรด้าร์ 

แดดร้อนมากเลยช่วงนี้ ทั้งที่มองไปทางปลายฟ้า เห็นเมฆดำก้อนมหึมา บ่ายนี้คงจะได้เจอฝนอีกแน่ๆเลย   ไม่มีปัญญาเดินดูใกล้ๆให้ทั่ว เลยเอาแค่เก็บรูปมาเท่านั้น
นั่งรถรางกลับมาที่จอดรถ ก่อนออกจากอุทยานมีร้านขายต้นไม้ มีสวยๆเยอะเลยค่ะ

จากร้านนี้ หิ้วต้นเข้าพรรษากลับมา ๔ ต้น เป็นสีขาว ๒ สีชมพู ๒ แต่ยังหาสะเลเตไม่ได้ ก็กลับมาที่พัก อาบน้ำสระผมเสร็จตอนเที่ยงพอดี ได้เวลาเช็คเอาท์ ^^

ต้นลำโพง ในซอยทางเข้าสะเลเต ชาเล่ต์ค่ะ  แถวนี้ ต้นลำโพงออกดอกเต็มต้นแบบนี้ทั่วไปหมด สวยค่ะ

ออกมาเราวนดูที่พักทางผ่าน เจอน่ารักๆ ใช้ได้หลายแห่งเหมือนกัน
เช่น บ้านต้นไม้ บ้านชมพูนุท หรือ ไร่ภูแสง ที่ปลูกดอกดาวกระจายอยู่หน้าบ้านให้แขกชม


ระหว่างทาง แวะกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นสักหน่อย แถวนี้ เขาปลูกสะตอด้วยนะคะ แล้วมีทุเรียนด้วย ป้าที่ไร่ภูแสงบอกว่า อร่อยมากกก แต่ไม่ชิมค่ะ นอกนั้นก็เห็นหน่อไม้ ข้าวโพด หัวไชเท้า เราซื้อมาแต่สะตอ แล้วได้ต้นสะเลเตกลับมาอีกต้น
สุดท้ายริงๆ คือ แวะซื้อเสื้อยืดคนละตัว น้องเจ้าของร้านอุตส่าห์ทำจุดขายให้ชวนแวะ เราก็ให้กำลังใจเขาหน่อย เขาออกแบบเองด้วย ลายน่ารักดีค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น