วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ไปทุ่งดอกกระเจียวกันเถอะ...๓

และแล้วเราก็กลับมาฝากท้องกับร้านลุงหนวดอีกรอบ เพราะติดใจปลาสดๆของลุง มื้อนี้เรากิน..ต้มยำปลาเทโพ  ปลาคังลวกจิ้ม กระเพราปลา.. ส่วนตัวติดใจกระเพราปลามาก รสถูกปากทีเดียว กินเสร็จแล้ว ถึงนึกขึ้นได้ว่า ลืมถ่ายรูปมาฝาก ๕๕๕๕  ถ้าใครมีโอกาสผ่านไป ลองแวะชิมดูนะคะ เผื่อจะถูกปาก
ร้านลุงหนวดอยู่บนเส้น ๒๓๕๔ ที่จะเข้าสู่ทุ่งกระเจียว จากปากทางเข้ามาประมาณ ๕ กม. ถ้าเป็นช่วงวีคเอนด์ โทร.จองสักนิดก็ดีค่ะ ๐๘๐ ๑๕๘ ๐๒๘๘ / ๐๘๙ ๒๓๘ ๐๘๖๒ เพราะมักจะเต็ม
ที่ร้านลุงมีกฏเหล็กคือ ทำตามคิว ไม่มีการแซงคิว และ ห้ามเร่งอาหาร

อิ่มแล้ว เราก็ออกเดินทาง โดยเลี้ยวซ้ายเข้าเส้น ๒๐๕ ตรงยาวโลดเข้าโคราชเพื่อไปแวะหาเพื่อน เจอฝนตกหนักเป็นช่วงๆ ก็ดีนะคะ เขาให้เราเที่ยวตอนเช้า พอบ่ายเดินทาง เขาถึงค่อยตก
ถึงโคราช แวะคุยและขอแผนที่จุดต่างๆในเมืองบุรีรัมย์ได้เรียบร้อย ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปบุรีรัมย์ โดยใช้เส้นทาง ๒๒๖ ฝนตกอีกแล้ว หนักด้วย โอ๊ย...เครียด จะไปทันได้กินเต้าส่วนมั้ยนี่ ๕๕๕๕

ฝนตกหนักมาก และเป็นถนน ๒ เลนวิ่งสวนกัน โค้งไปโค้งมา ก็ออกจะเกร็ง นึกถึงตอนไประยองคนเดียวเมื่อวันก่อนขึ้นมาจึงสวดมนต์บูชาหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ในใจ ขอท่านได้โปรดคุ้มครองด้วย แล้วเล่าให้พี่ชายฟังว่า วันก่อนไประยองคนเดียว ฝนตกหนักแบบเนี้ย ฉันสวดขอให้หลวงปู่ทวดคุ้มครอง สักพักจากที่อยู่ใต้ฟ้ามืดๆฝนตกหนักมองไม่เห็นทาง กลายเป็นฝนซาฟ้าใส
ไม่อยากจะคิดมากเลย แต่..พอเล่าเสร็จ ฝนก็เริ่มซา...
( โปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟังด้วยค่ะ แต่นี่คือศรัทธาของเราเป็นการส่วนตัว ใครจะเชื่อหรือไม่ ก็แล้วแต่นะคะ )

จนกระทั่งใกล้จะถึงบุรีรัมย์ ฝนก็หยุด..บอกแล้ว เขารู้งาน เขาตกตอนเราต้องอยู่ในรถ :)
ไม่ได้มาบุรีรัมย์สัก ๓-๔ ปีแล้วมั้ง รู้สึกว่าถนนดีขึ้นเยอะ โดยเฉพาะเมื่อใกล้จะถึงอ.เมือง เลยแอบคิดเล่นๆว่า เมืองที่มีนักการเมืองใหญ่ๆนี่ ถนนดีเหมือนกันหมดเลยนะ แต่ที่นี่ยังสู้บอหอบุรีไม่ได้ ที่เมืองนั้น นอกจากจะถนนดีแล้ว ต้นไม้เขายังตัดเป็นระเบียบเป๊ะๆ ใครผ่านไปลองดูนะคะ เขาตัดต้นสนเป็นพุ่มยอดแหลมเท่าๆกันทุกต้นเลย

เราเข้าเมืองแล้วตรงไปตลาดอาหารแถวๆเทศบาลก่อนเลย เพื่อไปกินเต้าส่วนเจ้ตุ่ม เพราะพอทุ่มนึงเขาก็จะหมดแล้ว ปกติไม่ได้ชอบกินเต้าส่วน เพราะมันจะยืดๆเหนียวๆ แต่เต้าส่วนเจ้ตุ่มนี่ ไม่เหนียวไม่ข้น กำลังดี ถั่วเคี่ยวเปื่อย กระทิออกเค็ม อร่อยดี ได้กินหนนึงติดใจอยากกินมาหลายปี แต่ไม่มีโอกาสมาบุรีรัมย์สักที ครั้งนี้ โชคดีได้กินครบเครื่องด้วย คือผู้แนะนำสั่งให้ลองกินคู่กับปาท่องโก๋ ซึ่งวันนี้เขาก็ขายด้วย ขายอยู่ใกล้ๆกันแหละค่ะ
เต้าส่วนเจ้ตุ่มนี่ ถ้วยละ ๑๕ บาทนะคะ ไม่ขายวันพระ กับวันอาทิตย์ ส่วนปาท่องโก๋ตัวละ ๓ บาท มีสังขยา กับนมข้มหวานใส่ถ้วยขายด้วย บริการพร้อมทีเดียว


อร่อยดีค่ะ ปาท่องโก๋เปล่าๆก็อร่อยแล้ว เขาทอดได้กรอบนอกนุ่มในทีเดียว..  อิ่มเลย เต้าส่วน ๑ ถ้วย ปาท่องโก๋ ๒ คู่ เดินยิ้มขึ้นรถไปโรงแรมได้เลย

ครั้งนี้จองจินตนา รีสอร์ทไว้ อยู่กลางเมือง ที่จองเป็น studio villa ดูจากในเน็ตว่าใหม่ดี ห้องกว้างขวาง สะอาด แต่ห้องน้ำมีกลิ่นอับ ไม่ทันได้ถามว่าอีกห้องเป็นหรือเปล่า บรรยากาศโดยรวมใช้ได้ ตรงกลางรีสอร์ท มีบ่อน้ำและน้ำพุ ตอนไปถึงลมพัดเย็นเชียว


แยกย้ายกันเข้าห้อง นัดกันว่าสักสองทุ่มค่อยออกไปหาอะรัยทานกัน มีลายแทงร้านอาหารอยู่ในมือแล้ว ^^ แต่พอสองทุ่มครึ่งคุยกัน เลยได้รู้ว่าพี่ท่านหลับไปแล้ว ถ้างั้นนอนต่อไปเลยละกัน ๕๕๕ ... แต่ถ้าใครจะไปบุรีรัมย์ ก็เชิญนะคะ ข้าวต้ม ๓๕๗(อยู่ไม่ไกลจากตลาดเทศบาลที่เราทานเต้าส่วนค่ะ) กับจิ้มจุ่มปายมิลค์ (อยู่หน้าซอยจินตนารีสอร์ท) หรือ ข้าวต้มตี๋ ภาค๒ ที่จริงมีร้านพิซซา แบบแป้งบางกรอบด้วยนะคะ แต่จำไม่ได้แล้วว่าอยู่ตรงไหน :)

นัดกันว่า จะตื่นแต่เช้าจะได้รีบไปปราสาทพนมรุ้ง ตอนแสงแดดสวยๆ แต่พอโผล่จากห้องมา ๗ โมงเช้า แดดจ้าเชียว (ต่างจากเมื่อวานลิบลับ) เลยรีบออกว่าจะไปหาอาหารเช้าแถวประโคนชัย
ทางออกจากเมือง เจออนุสาวรีย์ช้าง(คำเรียกของชาวบ้าน) หรือ พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๑ นึกไม่ออกว่าท่านทรงมาทำอะไรที่เมืองนี้ สงสัยมากจนต้องกลับมาหาข้อมูล ถึงได้รู้ว่า

"ประวัติความเป็นมาของจังหวัดบุรีรัมย์ ถือกำเนิดเมื่อครั้งที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ดำรงตำแหน่ง เจ้าพระยาจักรี ในแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โดยในปี พ.ศ. 2319 เจ้าพระยาจักรี ได้รับพระบรมราชโองการฯ ให้ยกทัพขึ้นมาปราบ “กบฏพระยานางรอง” ครั้นเสร็จศึกจึงยกทัพกลับและได้พบกับเมืองร้างซึ่งมีชัยภูมิที่ดี จึงรวบรวมผู้คนก่อตั้งเมืองขึ้นโดยให้ชื่อว่า “เมืองแปะ” ก่อนจะเปลี่ยนเป็น "เมืองบุรีรัมย์” ในกาลต่อมา  "
( จาก http://www.oknation.net/blog/Anti-Corruption/2007/05/22/entry-2 )
เรื่องพระบรมราชานุสาวรีย์นี้ มีประเด็นต่างๆอีกมาก ถ้าสนใจลองไปตามอ่านกันเองแล้วกันนะคะ
(ภาพจาก OK Nation)

เลยจากตรงนี้ไป จะผ่านสนามฟุตบอลใหญ่ I-Mobile Stadium ของทีมบุรีรัมย์ PEA  มูลค่าก่อสร้างหลายร้อยล้านบาท จุผู้ชมได้ถึง ๒๔,๐๐๐ คน ก็ต้องชักรูปเป็นที่ระลึกกันหน่อย ^^


จากตัวเมืองตรงเข้าอ.ประโคนชัย ถนนตรงๆเลยค่ะ แล้วค่อยไปเลี้ยวขวาขึ้นเขาพนมรุ้ง ก่อนจะถึง ผ่านทางแนกไปปราสาทเมืองต่ำด้วย ถ้าใครยังไม่เคยมา แนะนำให้แวะเที่ยวด้วยนะคะ  แต่ครั้งนี้ เราตั้งใจจะไปพนมรุ้ง จึงผ่านไปก่อน
เป็นครั้งแรกที่ขับรถมาเอง จึงเพิ่งรู้สึกว่าขึ้นเขาสูง แต่ขึ้นทางอ.ประโคนชัยนี้ ไม่ค่อยชันเท่าไร เคยมาปราสาทพนมรุ้งนี้หลายครั้ง ตั้งแต่ยังไม่บูรณะ เริ่มบูรณะ จนกระทั่งบูรณะเสร็จ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ต้องเดินขึ้นมาเป็นระยะทางไกลมาก..สำหรับป้า ^^ เพราะเคยเอารถขึ้นมาได้ถึงบริเวณใกล้ๆ"ทางดำเนิน" ที่มีเสานางเรียงน่ะค่ะ แต่ตอนนี้เขาให้จอดรถข้างล่างแล้วเดินขึ้นมาอะ


ปราสาทเขาพนมรุ้ง เป็นศาสนสถาน ในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย คือ นับถือพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุดดังนั้น เขาพนมรุ้งจึงเปรียบเสมือนเขาไกรลาสที่ประทับของพระศิวะ  สร้างอยู่บนยอดภูเขาไฟ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๘ คือ มีการก่อสร้างเพิ่มเติมต่อมากันมาเรื่อยๆ ดูได้จากวัสดุที่ใช้ในกรก่อสร้าง และ ศิลปะการแกะสลักหินที่แตกต่างกัน บ่งบอกถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
ผังของปราสาทหิน ส่วนใหญ่มักจะคล้ายๆกัน คือมีองค์ปราสาทประธาน ที่มักจะหันหน้าไปทิศตะวันออก มีระเบียงคตรอบองค์ปราสาท และทางเดินตรงเข้าสู่องค์ปราสาท มักมีเสานางเรียงประดับอยู่ (บางที เห็นเรียกเสานางจรัญ)


พักเหนื่อย...  :p

ถึงแว้วววว

ใกล้เข้าไปอีกนิดนะ


ปราสาทเขาพนมรุ้งนี้ องค์ปราสาทประธาน ก่อด้วยหินทรายสีชมพู มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุม ด้านหน้าทำเป็นมณฑปโดยมีฉนวนเชื่อมปราสาทประธาน


ที่ซุ้มประตูแต่ละทิศนั้น จะมีภาพจำหลักแสดงเรื่องราวต่างๆในศาสนาฮินดู โดยที่มีชื่อที่สุด คือด้านทิศตะวันออก ที่เป็นด้านหน้า มีหน้าบันแกะสลักเป็นรูป ศิวนาฎราช และ ทับหลังรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์

หน้าบัน"ศิวนาฏราช"

ตามความเชื่อถือศรัทธาของชาวไศวนิกาย ศิวเทพทรงเป็นตัวแทนของธรรมชาติที่หลากหลายตามแต่ลีลาของจินตนาการจะเสกสรรค์ปั้นแต่ง การร่ายรำเป็นเพียงธรรมชาติด้านหนึ่งของพระองค์ หากทรงร่ายรำด้วยท่วงทำนองที่เป็นปกติ ก็เพื่อการหมุนเวียนแปรเปลี่ยนของจักรวาล แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทรงร่ายรำด้วยจังหวะที่ร้อนแรง ก็แปลว่าถึงเวลาแล้วที่จักรวาลกำลังจะถึงกาลอวสาน



ทับหลัง "นารายณ์บรรทมสินธุ์"
ทับหลังคืออะไร ?  คือ..หินชิ้นสี่เหลี่ยมที่วางอยู่เหนือเสาประตูน่ะค่ะ 
คงจะจำกันได้นะคะ...เอาไมเคิล แจ๊คสันคืนไป เอาพระนารายณ์คืนมาๆๆๆ... เขาพูดถึงทับหลังชิ้นนี้แหละค่ะ โปรดสังเกตด้วย ของแท้พระนารายณ์จะต้องถูกยิงที่ไหล่ซ้าย เราได้ทับหลังนี้ คืนมาจากอเมริกาปี ๒๕๓๑ ค่ะ ทันเปิดอุทยานประวัติศาสตร์พอดี


"ที่ทับหลังของมณฑปด้านทิศตะวันออกปราสาทประธาน เป็นภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์ โดยพระนารายณ์บรรทมตะแคงขวา เหนือ พระยาอนันตนาคราช ซึ่งทอดตัวอยุ่เหนือมังกรอีกต่อหนึ่งท่ามกลางเกษียรสมุทรมีก้านดอกบัวผุด ขึ้นจากพระนาภีของพระองค์ มีพระพรหมประอยู่เหนือดอก บัวนั้น พระนารายณ์ทรงถือ คฑา สังข์ และจักรไว้ในพระหัตถ์หน้าซ้าย พระหัตถ์หลังซ้ายและพระหัตถ์หลังด้านขวา ตามลำดับ ส่วนพระหัตถ์หน้า ขวา รอบรับพระเศียรของพระองค์เองทรงมงกุฏรูปกรวยกภณฑล กรองศอ และทรงผ้าจีบเป็นริ้ว มีชายผ้ารูปหาปลาซ้อนกันอยู่ 2 ชั้นด้านหน้าคาดด้วย สายรัดพระองค์ มีอุบะขนาดสั้นห้อยประดับมีปพระลักษณมีชายาพระองค์ประทับนั้นอยู่ตรงปลายพระบาท
สำหรับพระพรหม ซึ่งประทับเหนือดอกบัวนั้น มีสี่พักตร์ สี่กร ถัดจากองค์พระนารายณ์มาทางซ้ายบริเวณเลี้ยวของทับหลัง มีรูปหน้ากาลคายพวงอุบะขนาดใหญ่ เหนือหน้ากาลมีรูปครุฑ ใช้มือยึดนาคไว้ข้างละต้นนอกจากนี้ยังปรากฏรูปสัตว์อื่น ๆ ได้แก่ นกแก้ว ลิง และนกหัสดีลิงก์คาบช้างอยู่ด้วย
การบรรทมสินธุ์ของพระนารายณ์นั้น คือ การบรรทมในช่วงการสร้างโลก การบรรทมแต่ละครั้งนั้น จะเกี่ยวกับยุคเวลาในแต่ละกัลป์ภาพทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่ปราสาทพนมรุ้งนี้ คงได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์วราหปุราณะ เป็นคัมภีร์ที่ให้ความสำคัญแก่ พระนารายณ์เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ในขณะที่พระนารายณ์ กำลังบรรทมอยู่นั้น ได้ทรางสุบินขึ้นจากพระนาภี บนดอกบัวได้บังเกิดพระพรหม และพระพรหมทรงเป็นผู้สร้างมนุษย์ และสิ่งต่าง ๆ"

ที่ตรงกลางปราสาท เป็นห้องประดิษฐานศิวลึงค์ ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ แต่สูญหายไปแล้วนะคะ คงเหลือให้เห็นแต่รางน้ำที่ต่อมาจากข้างในห้อง คือเขาไว้รองรับน้ำมนต์ที่สรงสักการะศิวลึงค์น่ะค่ะ
เวลาเดินดูปราสาทหิน ถ้ามีคนที่รู้ประวัติศาสตร์ศิลป์ไปด้วย จะดีมากเลยค่ะ เพราะเราจะได้ฟังนิทานสนุกๆ เกร็ดของภาพแกะสลักต่างๆ ทั้งในหน้าบัน ทับหลัง รวมไปถึงมุมเล็กมุมน้อยแบบนี้ด้วย


แม้นาคพวกนี้ ก็ยังมีเกร็ดล่ะค่ะ ว่าแต่ละสมัยนาคจะมีลักษณะแตกต่างกันไป เช่น นาคหัวโล้นหน้าเหมือนหมู เป็นนาคยุคโบราณ ถ้ามีหงอนมีรัศมี ก็เป็นยุคใหม่ขึ้นมา อะไรทำนองนี้ แต่ตอนนี้ จำไม่ค่อยได้แล้วอะ ^^



และปราสาทหินส่วนมากจะมีสระน้ำ เขาว่าไว้เป็นที่ชำระล้างร่างกายให้สะอาด ก่อนที่จะเข้าศาสนสถาน สำหรับพวกเราในสมัยนี้ อย่าลืมที่จะถ่ายเงาสะท้อนของปราสาทในน้ำนะคะ 


วันที่เราไปนี่ มีเด็กๆมาทัศนศึกษาด้วยค่ะ ได้ยินเสียงตอบคำถามวิทยากรแจ๋วๆ น่ารักเชียว ชอบจริงๆกับการที่ให้เด็กๆได้ออกมาสัมผัสของจริงแบบนี้ แล้วคุณครูยังมีการบ้านด้วยนะคะ ให้วาดภาพปราสาทส่งครู

แล้วยังมีพิธีการบวงสรวงอะไรสักอย่าง เราเลยได้มีโอกาสดูนางรำฟ้อนสวยๆด้วย


มีเรื่องสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง ว่าเวลาเราไปเที่ยวพวกเสาหิน ปราสาทหินทางอีสาน มักจะเจอคนเอาก้อนหินมาเรียงซ้อนกันเป็นเหมือนเจดีย์อะค่ะ ไม่ทราบว่า เป็นคตินิยมว่ากระไร ใครทราบ วานบอกทีเถอะค่ะ

จบแล้วล่ะค่ะ ทริปนี้ ^^  สองวันนี้เดินจนปวดขาไปหมดแล้ว โดนทับถมอีกด้วยว่า ไม่รู้จักออกกำลัง  :(

ปิดท้ายให้สมบูรณ์ด้วย Rib Eye Steak จาก Rex's Steak ปากช่องค่า.. เล่นเอาแทบลืมตาไม่ขึ้นเลยเชียว ^_____^


หมายเหตุ : ข้อมูลบางส่วนจากวิกิพีเดีย / www.oceansmile.com / เกร็ดเล็กๆที่ติดอยู่ในความจำตอนไปอบรมมัคคุเทศก์ เมื่อหลายสิบปีก่อน ^^

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ไปทุ่งดอกกระเจียวกันเถอะ...๒

เช้าแล้วววว ตื่นขึ้นมารอทานข้าวเช้าตั้งแต่ ๖ โมง เพราะกะว่าจะไปที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงามตอน ๗ โมง จะได้ทันเห็นหมอกสวยๆ
อากาศดีมากๆๆๆเลย ขอย้ำอีกที นั่งรอข้าวเช้านี่มีลมพัดเอื่อยๆ สดชื่นมาก

รออาหารเช้านานไปนิด น้องยกมาให้ประมาณ ๖.๓๐ น. จานใหญ่ขนาดนี้ พี่รีบทานเลยออกแนวจุกเล็กๆอะ แต่ก็อร่อยค่ะ ถ้ามีเวลามากกว่านี้สักนิด คง enjoy


๗ โมงเราพร้อม ออกเดินทางไปอุทยานป่าหินงามกัน ค่าเข้า รถคันละ ๓๐ บาท ค่าคนเข้า คนละ ๒๐ บาทนะคะ เขามีที่ให้จอดรถ แล้วไปนั่งรถรางต่อน่ะค่ะ เขาเก็บค่ารถรางคนละ ๒๐ บาท จะขึ้นลงกี่รอบก็ได้ เขามีจุดหยุด ๔ แห่ง คือที่ลานหินสุดแผ่นดิน ที่ทุ่งดอกกระเจียว ๑ และ ๒ กับที่ลานป่าหินงาม (รถรางส่วนหนึ่งเขาเอามาจากงานราชพฤกษ์ที่เชียงใหม่นะคะ)
ครั้งแรกที่มา สามารถเอารถเข้าไปได้จนเกือบถึงผาสุดแผ่นดินนะคะ แล้วยังเดินไปตามทุ่งดอกกระเจียวได้ด้วย เพราะตอนนั้นเขายังไม่เริ่มโปรโมท นักท่องเที่ยวมีไม่มาก ยังไม่ต้องการการจัดการมากขนาดนี้
อุทยานแห่งชาติป่าหินงามนี้ ยังมีสภาพป่าสมบูรณ์ดี เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของลุ่มน้ำชีและแม่น้ำป่าสัก มีพื้นที่ประมาณ ๗๐,๐๐๐ ไร่ด้วยกัน

เราเลือกขึ้นไปที่สูงที่สุดก่อนค่ะ ผาสุดแผ่นดิน หมอกลงหนามากทีเดียว อาจเป็นเพราะเมื่อวานฝนตกหนักก็ได้ น่าเสียดาย มองลงไป ไม่เห็นอะไรเลย นอกจากหมอก

ผาสุดแผ่นดิน อยู่ทางด้านเหนือของที่ทำการอุทยานฯ เป็นจุดที่สูงที่สุดของเทือกเขาพังเหย เขาว่าแนวหน้าผาและชะง่อนหินบริเวณนี้เกิดจากการดันตัวของแผ่นดินภาคกลาง ซุกเข้าใต้แผ่นดินภาคอีสาน ทำให้เกิดขอบยกสูงขึ้นแบ่งระหว่างภาคกลางกับภาคอีสาน
บริเวณนี้เป็นเขตรอยต่อ ๓ ภาค ระหว่าง ภาคกลาง จ.ลพบุรี กับ ภาคอีสาน จ.ชัยภูมิ และ ภาคเหนือ จ.เพชรบูรณ์


เมื่อไม่เห็นอะไร เราก็เลือกที่จะเดินลงไปดูทุ่งดอกกระเจียว โดยเดินไปตามทางในป่า แทนการนั่งรถ หรือ เดินไปตามถนน เพราะบรรยากาศดีกว่ากัน แถมไม่ต้องกลัวหลงด้วย ก็ทางเดินออกจะชัดเจนนี่นะ


แถมยังมีอะไรๆให้ดูตามรายทางด้วย ดอกไม้ดินเล็กๆ หนอนตัวโตๆ ^^

เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอทุ่งดอกกระเจียวในสายหมอก



เดี๋ยวนี้ เขาจะทำทางเดินเท้าไว้ให้ พร้อมทั้งกั้นรั้วลวดไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินลงไปในทุ่ง เพราะอาจจะไปเหยียบต้นกระเจียวที่กำลังจะงอกขึ้นมาใหม่ได้ แต่ก็น่าสลดใจที่นักท่องเที่ยวบางรายก็ยังปีนออกไปนอกรั้วกั้น เพื่อถ่ายรูป บางรายคนเป็นพ่อ บอกให้ลูกปีนออกไปเพื่อที่จะได้ถ่ายรูปชัดๆด้วยซ้ำ  แทนที่จะช่วยกันอบรมเด็กให้เคารพกฏ ขนาดเขามีป้ายติดว่า ใครลงไปในทุ่งจะปรับ ๕๐๐ บาทด้วยนะคะ ระหว่างที่เดินๆอยู่ จะมีเสียงเจ้าหน้าที่เป่านกหวีดปรี๊ดๆ เตือนคนที่ฝ่าฝืนกฏเป็นระยะๆ
ส่วนตัวคิดว่า น่าจะปรับจริงจังไปเลย อาจจะได้ผลมากกว่านี้...  นี่คือ การอะลุ้มอล่วยแบบไทยๆหรือเปล่าคะ ???






ชอบดอกสีเหลืองส้มนี่จริงๆ ลีลาน่ามอง ดูเธอสะบัดสะบิ้งดี อิอิ


ส่วนดอกสีขาวนี่ ดอกอะไรไม่ทราบ อยู่ติดกับพื้นดินเลย

เราเดินกันลงมา จนเกือบ ๙ โมงแล้ว ยังไม่มีวี่แววจะเห็นแสงแดด เลยกะว่าจะย้อนกลับไปดูทุ่งดอกกระเจียวสีขาวก่อน จำได้ว่าเคยมาดู ดอกจะเล็กกว่าสีชมพู ถามคุณเจ้าหน้าที่เขาว่า อยู่แถวหลังห้องน้ำ ตรงผาสุดแผ่นดิน เลยนั่งรถย้อนกลับขึ้นไปอีกรอบ พอจะลงรถ ถามคุณคนขับอีกที เธอว่า ไม่ให้ไป เพราะยังไม่ได้ทำทางเดิน เกรงจะหลง ปีหน้าค่อยมาใหม่ เพราะทางเดินจะเสร็จปีหน้า ( แต่แหม...อิฉันเคยมาแล้วนะคะ ไม่น่าหลงอะ )

แวะเข้าห้องน้ำก่อน ห้องน้ำสะอาดดี แต่...ใครช่วยบอกหน่อยได้ไหมคะ ที่ว่า "สุขาซังไบสุดสุด" แปลว่าอะไร

เราลองเดินไปตามทางด้านหลังห้องน้ำ เดินไปไกลพอควร ก็ไม่ยักเจอทุ่งดอกกระเจียวสีขาวสักที เลยเดินกลับ ย้อนขึ้นไปผาสุดแผ่นดินอีกที คราวนี้เจอแล้ว มุมนี้ ^^
ไม่กล้าลงนั่งห้อยขาแบบคนอื่นเขา แถมคุณท่านตากล้องก็ไม่กล้าเข้ามาถ่ายใกล้ๆ ให้เห็นลงไปถึงข้างล่างด้วย
อิอิ กลัวที่สุด คือ กลัวแท่นหินที่อยู่มานาน จะเกิดรับน้ำหนักเราไม่ไหวขึ้นมาในวันนี้อะ



 เมื่อไม่เจอกระเจียวขาว ก็กลับลงมาทุ่งดอกกระเจียวสีชมพูใหม่ เผื่อว่า แดดจะออก เพราะเริ่มสายแล้ว
 แดดเริ่มมาแล้วค่ะ ก็จะเห็นกระเจียวชัดขึ้น








ฟังคุณป้านักท่องเที่ยวท่านนึงเล่าว่า ดอกจริงๆคือที่เป็นกลีบเล็กๆสีขาวๆม่วงๆน่ะค่ะ

ดอกกระเจียวที่เพิ่งออกยังมีอีกมากนะคะ คุณเจ้าหน้าที่บอกว่า เดือนหน้าก็ยังน่าจะมีให้ดูอยู่


ดอกไม้ป่า..น่ารักมั้ย



สิบโมงกว่าแล้ว ได้เวลาบ๊ายบายทุ่งดอกกระเจียวเสียที ไว้แล้วจะมาใหม่นะคะ

เรานั่งรถจากทุ่งดอกกระเจียวมาที่ลานป่าหินงามกันค่ะ ไหนๆก็มาแล้ว ที่จริงขาเริ่มล้า และเจ็บเท้าแล้ว รถพามาจอดที่ลาน บอกให้เดินตามทางไป ยืนดูป้าย เขาบอกว่าประมาณ ๑๐๐ เมตรนะ จริงอ๊ะเปล่าาาา

ลองเดินไปตามทาง สักพักก็จะเจอหินรูปถ้วยฟีฟ่า หรือรูปตะปู

ขอชูถ้วยฟีฟ่าสักหน่อย ;)

จากบริเวณใกล้ๆกัน จะมองเห็นหินแม่ไก่ยักษ์

และมอหำตั้ง

แต่ต้องปีนต่อไปหน่อย จึงจะเห็นหินรูปเรด้าร์ 

แดดร้อนมากเลยช่วงนี้ ทั้งที่มองไปทางปลายฟ้า เห็นเมฆดำก้อนมหึมา บ่ายนี้คงจะได้เจอฝนอีกแน่ๆเลย   ไม่มีปัญญาเดินดูใกล้ๆให้ทั่ว เลยเอาแค่เก็บรูปมาเท่านั้น
นั่งรถรางกลับมาที่จอดรถ ก่อนออกจากอุทยานมีร้านขายต้นไม้ มีสวยๆเยอะเลยค่ะ

จากร้านนี้ หิ้วต้นเข้าพรรษากลับมา ๔ ต้น เป็นสีขาว ๒ สีชมพู ๒ แต่ยังหาสะเลเตไม่ได้ ก็กลับมาที่พัก อาบน้ำสระผมเสร็จตอนเที่ยงพอดี ได้เวลาเช็คเอาท์ ^^

ต้นลำโพง ในซอยทางเข้าสะเลเต ชาเล่ต์ค่ะ  แถวนี้ ต้นลำโพงออกดอกเต็มต้นแบบนี้ทั่วไปหมด สวยค่ะ

ออกมาเราวนดูที่พักทางผ่าน เจอน่ารักๆ ใช้ได้หลายแห่งเหมือนกัน
เช่น บ้านต้นไม้ บ้านชมพูนุท หรือ ไร่ภูแสง ที่ปลูกดอกดาวกระจายอยู่หน้าบ้านให้แขกชม


ระหว่างทาง แวะกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นสักหน่อย แถวนี้ เขาปลูกสะตอด้วยนะคะ แล้วมีทุเรียนด้วย ป้าที่ไร่ภูแสงบอกว่า อร่อยมากกก แต่ไม่ชิมค่ะ นอกนั้นก็เห็นหน่อไม้ ข้าวโพด หัวไชเท้า เราซื้อมาแต่สะตอ แล้วได้ต้นสะเลเตกลับมาอีกต้น
สุดท้ายริงๆ คือ แวะซื้อเสื้อยืดคนละตัว น้องเจ้าของร้านอุตส่าห์ทำจุดขายให้ชวนแวะ เราก็ให้กำลังใจเขาหน่อย เขาออกแบบเองด้วย ลายน่ารักดีค่ะ